ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน “บ. ราชธานีลิสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB/Stable” เท่าเดิม

07 Feb 2007

กรุงเทพฯ--7 ก.พ.--ทริสเรทติ้ง

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศยืนยันผลการทบทวนอันดับเครดิตหุ้นกู้มีประกัน 1,000 ล้านบาท (TANI078A) ของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ซึ่งสะท้อนถึงคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง สัมพันธภาพที่ยาวนานกับผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ และการสนับสนุนที่คาดว่าจะได้รับจากผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวมีข้อจำกัดจากการเสื่อมคุณภาพของสินทรัพย์และการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดเช่าซื้อรถยนต์ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังพิจารณารวมไปถึงหลักทรัพย์ค้ำประกันแก่ผู้ถือหุ้นกู้โดยใช้บัญชีลูกหนี้ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์เป็นหลักประกันในอัตราส่วน 135% ของมูลค่าหุ้นกู้ด้วย ทั้งนี้ หากสินเชื่อดังกล่าวมีไม่ถึง 135% บริษัทจะต้องดำรงเงินสดหรือตั๋วเงินไว้เป็นหลักประกันเทียบเท่ามูลค่าของหุ้นกู้ในส่วนที่หลักประกันคุ้มครองไม่เพียงพอ

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความเชื่อของทริสเรทติ้งว่าบริษัทราชธานีลิสซิ่งจะสามารถขยายสินเชื่อหลังจากแผนการเพิ่มทุนบรรลุผล ทั้งนี้ ฐานทุนที่แข็งแกร่งของบริษัทในปัจจุบันจะมีเพียงพอสำหรับรองรับความไม่แน่นอนของคุณภาพของสินทรัพย์ประเภทใหม่

ทริสเรทติ้งรายงานว่า ในปี 2549 บริษัทราชธานีลิสซิ่งได้ลดความเสี่ยงด้านสภาพคล่องโดยการเพิ่มทุน เปลี่ยนโครงสร้างเงินกู้ยืม และทดแทนการกู้ยืมโดยการเปลี่ยนตั๋วแลกเงินระยะสั้นไปเป็นการใช้เงินกู้ยืมระยะกลางจากธนาคารพาณิชย์แทน โครงสร้างเงินทุนใหม่ช่วยให้บริษัทมีสมดุลระหว่างสินทรัพย์และหนี้สินที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยที่สูงขึ้นได้กระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัท แผนการเพิ่มทุนของบริษัทแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2549 ในขณะที่สินเชื่อรวมของบริษัทลดลงจาก 2,271 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2548 เป็น 1,785 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 เนื่องจากบริษัทอยู่ในระหว่างการแก้ปัญหาด้านเงินทุน ทุนชำระแล้วของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 402 ล้านบาทในปี 2548 เป็น 667 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนกันยายน 2549 โดยธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) ได้เพิ่มทุนจำนวน 305 ล้านบาทให้แก่บริษัทโดยการซื้อหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 265 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 1.15 บาท ส่งผลให้ธนาคารนครหลวงไทยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 39.8% และจากฐานะการเป็นบริษัทในเครือของธนาคารนครหลวงไทย บริษัทจะช่วยผลักดันนโยบายการเป็นธนาคารครบวงจรของธนาคารนครหลวงไทย โดยคาดว่าธนาคารนครหลวงไทยจะเป็นแหล่งเสริมสภาพคล่องที่มั่นคงให้แก่บริษัท อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการอาศัยทรัพยากรของธนาคารนครหลวงไทยจำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการพิสูจน์

บริษัทวางแผนเชิงรุกที่จะขยายสินเชื่อในปี 2550 อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในตลาดเช่าซื้อรถยนต์มือสองมีความรุนแรงเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ขยายสินเชื่อสำหรับรถยนต์มือสองมากขึ้นหลังจากที่ธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทในเครือซึ่งมีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำกว่าและเครือข่ายสาขาที่กว้างขวางได้เข้ามาให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ บริษัทจึงต้องหาตลาดอื่นๆ ทดแทน เช่น การให้สินเชื่อแก่รถบรรทุกเชิงพาณิชย์ซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าพาหนะขนาดเล็ก บริษัทพยายามจะลดความเสี่ยงจากลูกค้ากลุ่มใหม่นี้โดยการเรียกดอกเบี้ยและเงินดาวน์ที่สูงขึ้น รวมถึงการเรียกเก็บเช็คล่วงหน้า เนื่องจากบริษัทยังใหม่สำหรับตลาดดังกล่าว ดังนั้น ความสามารถในการที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงหลังจากกันสำรองสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายของบริษัท ทริสเรทติ้งกล่าว