เตรียมป้องกันโรคฉี่หนู....ด่วน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพ--8 ม.ค.--กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ วางแผนรับมือโรคฉี่หนูปี 42 พร้อมเน้นหน่วยงานในภูมิภาคให้เพิ่มศักยภาพการตรวจในพื้นที่รับผิดชอบ เตรียมนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ สกัดโรคตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการคัดแยกผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้อย่างถูกต้องทันท่วงที ดร. เรณู โกยสุโข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า โรคเลปโตสไปโรซีสหรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าโรคฉี่หนู เป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียในกลุ่มสไปโรซีส โดยมีสัตว์จำพวกหนู สุนัข วัว ควาย เป็นพาหะนำโรค เชื้อเลปโตสไปโรซีสที่อยู่ในร่างกายของสัตว์ถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะแล้วฝังตัวอยู่ในดิน เมื่อมีน้ำท่วมหรือฝนตกก็จะแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ดังนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จึงมักเป็นชาวนาหรือเกษตรกรที่ต้องทำงานอยู่ในพื้นที่เฉอะแฉะมีน้ำท่วมขัง เชื้อเลปโตสไปโรซีสนี้จะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผลบริเวณผิวหนังที่มีรอยขีดข่วนหรืออาจติดมากับมือ เมื่อใช้มือป้ายตาเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อบุตาหรืออาจปนเปื้อนในอาหารที่รับประทานเข้าไป เมื่อเชื้อดังกล่าวเข้าสู่ร่างกายแล้วจะมีระยะฟักตัวประมาณ 6-12 วัน ในสัปดาห์แรกผู้ป่วยจะมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยเฉพาะกล้ามเนื้อน่อง ปวดศรีษะ คลื่นไส้ อาเจียน ตาแดงหรือตาเหลือง ตับและไตอักเสบ อาจมีเลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายด้วย ในบางรายอาจจะมีอาการปวดบวมและเยื่อหุ้มสมองอักเสบด้วย อาการเหล่านี้จะมีมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเชื้อที่ร่างกายได้รับซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ถ้าไม่ได้รับการบำบัดรักษาที่ถูกต้อง อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปี 2541 ที่ผ่านมาพบผู้ป่วยทั้งหมด 1,593 ราย เสียชีวิต 80 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ธันวาคม 2541) โดยมีการแพร่ระบาดอยู่ในบางจังหวัด เช่น ภาคเหนือที่จังหวัดแพร่พบผู้ป่วยประมาณ 98 ราย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในจังหวัดบุรีรัมย์ 173 ราย นครราชสีมา 104 ราย ชัยภูมิ 75 ราย มหาสารคาม 65 รายและสุรินทร์ 125 ราย ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าการแพร่ระบาดของโรคส่วนใหญ่มักเกิดในแถบจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ระยะเวลาการระบาดของโรคไม่แน่นอนบางช่วงของปีอาจรุนแรงจนมีประชาชนป่วยเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ละปีเฉลี่ยแล้วจะมีผู้ป่วยประมาณ 100-300 ราย สำหรับปี 2540 มียอดผู้ป่วยสูงถึง 2,331 ราย เสียชีวิต 111 ราย ซึ่งสถานการณ์ที่มีการระบาดเช่นนี้จึงจำเป็นจะต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพื่อสกัดกั้นความรุนแรงของโรคให้อยู่ในข่ายที่สามารถควบคุมได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จึงได้มอบหมายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 12 แห่งทั่วประเทศ ดำเนินการเฝ้าระวังและเปิดบริการตรวจวิเคราะห์โรคเลปโตสไปโรซีสในเขตพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาจากสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข คือ วิธี Indirect Immunofluorescence Technique (IFA) ซึ่งเป็นการใช้น้ำยาสำเร็จรูปตรวจหาเชื้อขั้นต้นที่สะดวกสามารถทราบผลได้ภายใน 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นจึงตรวจยืนยันชนิดของเชื้อด้วยวิธี Microscopic Agglutination Test (MAT) เพื่อประโยชน์ในการควบคุมการระบาด ซึ่งกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้จัดฝึกอบรมเพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ให้แก่เจ้าหน้ที่ในห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปและโรงพยาบาลชุมชนในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้มีความรู้ความชำนาญในการตรวจวินิจฉัยโรคเลปโตสไปโรซีสเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค นอกจากนี้ยังมีการตรวจตัวอย่างเลือดจากพาหะนำโรค เช่น หนู สุนัข ตามจังหวัดที่คาดว่าจะมีการระบาดของโรคอีกด้วย ทั้งนี้เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของบุคลากรทางห้องปฏิบัติการ และเพื่อสนับสนุนการตรวจวินัจฉัยของแพทย์ในการรักษาพยาบาลอย่างถูกแนวทาง รวมทั้งเป็นการสนับสนุนการเฝ้าระวังโรคเลปโตสไปโรซีสของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่งอย่างต่อเนื่องต่อไป อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวในตอนท้ายว่า เนื่องจากโรคเลปโตสไปโรซีสเป็นโรคที่ยังไม่มียารักษาเฉพาะที่ให้ผลแน่นอน การรักษาส่วนใหญ่จึงต้องใช้ยาปฏิชีวนะจำพวกเพนนิซิลินหรือด๊อกซีซัยคลินและต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์อย่างใกล้ชิด ที่สำคัญหากการวินิจฉัยโรคล่าช้าก็จะส่งผลให้ผู้ป่วยมีโอกาสเสียชีวิตได้ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวังหากต้องสัมผัสกับน้ำหรือบริเวณที่ต้องสงสัยว่าจะมีเชื้อโรคดังกล่าวเจือปน รวมทั้งคงรล้างมือล้างเท้าให้สะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสกับน้ำหรือบริเวณที่ต้องสงสัยดังกล่าว สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โทร 591-0203-14 ต่อ 9017. 9081 โทรสาร 591-1707--จบ--

ข่าวกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์+กรมวิทยาศาสตร์วันนี้

สวทช. ชูศักยภาพด้านการทดสอบความปลอดภัยระดับโลก "TBES-NSTDA" ผ่านการรับรอง OECD GLP ยกระดับระบบโครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ของไทย

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ประสบความสำเร็จครั้งสำคัญในการยกระดับมาตรฐานห้องปฏิบัติการของไทย สู่ระดับสากล เนื่องจากศูนย์ทดสอบทางพิษวิทยาและชีววิทยา (Toxicology and Bio Evaluation Service Center หรือ TBES) ภายใต้ สวทช. ได้รับมอบ ประกาศนียบัตร Certificate of Compliance to OECD Principles of GLP (Good Laboratory Practice) ในขอบข่ายการศึกษาทางพิษวิทยา จากสำนักมาตรฐานห้องปฏิบัติการ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

นายกิตติคุณ รอดรังนก ประธานเจ้าหน้าที่สาย... BKGI ร่วมเปิด "อาคารศูนย์ผลิตและควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์การแพทย์ขั้นสูง" — นายกิตติคุณ รอดรังนก ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวช...

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เดินหน้ายกระดับระบ... กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิด "ศูนย์สุขภาวะจีโนมิกส์" ก้าวใหม่ของการแพทย์แม่นยำไทย — กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เดินหน้ายกระดับระบบสุขภาพ เปิด "ศูนย์สุขภาวะจีโน...

นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร (ที่3 จากซ้าย) ประ... BKGI ผนึกกรมวิทย์ฯ รับถ่ายทอดเทคโนโลยีเซลล์บำบัด ดันไทยสู่ศูนย์กลางการแพทย์ภูมิภาค — นายกรพจน์ อัศวินวิจิตร (ที่3 จากซ้าย) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แบงค...

ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ... พิธีเปิดงานการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ ครั้งที่ 33 — ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางคว...

กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมเครือข่ายเฝ้าร... กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมเครือข่ายเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส hMPV — กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ร่วมเครือข่ายเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัส hMPV ทางห้องปฏิบัติการ ...