ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ “กำหนดเป้าหมายการปฏิรูปการศึกษา เด็กไทยต้องมีคุณภาพ”

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--23 ก.พ.--สถาบันทางปัญญา

รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายสถาบันทางปัญญา ผู้เป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนสร้างระบบการศึกษา และเป็นอีกครั้งที่ทีม ข่าวศูนย์ข้อมูลข่าวปฏิรูปประเทศไทยได้รับเกียรตินั่งพูดคุยถึงการ ทำงาน หลังจากอาจารย์วรากรณ์สวมหมวกอีกใบในฐานะรองประธานคนที่ 2 ของคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ 2 ถึงวันนี้ได้จุดเน้นการ ปฏิรูปการศึกษารอบ 2 แล้วหรือยัง ดร.วรากรณ์ : “ในภาพรวมของการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 มีกรอบวางไว้แล้ว อาจารย์ยงยุทธ ยุทธวงศ์ ได้วางไว้ของสคศ.ได้ทำไว้แล้ว ภายในปี 2556 จะพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและการเรียนรู้ของคนไทย เพิ่มโอกาสการเรียนรู้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยมีกรอบการปฏิรูปอย่างเป็นระบบ 4 กรอบด้วยกัน คือ 1.พัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ 2.พัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ 3.พัฒนาคุณภาพสถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และ4.พัฒนาการบริหารจัดการใหม่ เป็นกรอบที่ต้องดำเนินการตามนี้ เพียงแต่ว่าจะปฏิบัติอะไรได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่คณะกรรมการต้องพิจารณาต่อไป สำหรับแนวทางที่นายกรัฐมนตรีพูดไว้แล้ว คิดว่าเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก นายกรัฐมนตรีพูดถึงความล้มเหลวที่ผ่านมาของการปฏิรูปการศึกษา มีความจริงที่ต้องยอมรับในการทำงานด้านการศึกษา คือ การศึกษาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างคนเท่านั้น ถ้าจะให้ไปข้างหน้าได้ต้องขับเคลื่อนทุกภาคส่วนในสังคมให้ไปในทิศทางเดียว กันด้วย ภาคเอกชน ภาคสื่อสารมวลชน สื่อก็ต้องขยับเคลื่อนไปด้วยกัน ไม่ใช่เพียงแต่กระทรวงศึกษาธิการเพียงอย่างเดียว ขณะที่หน่วยงานของราชการ ยังผูกขาดอำนาจในเรื่องของการจัดการที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการเปลี่ยนแปลง” ถามถึงเป้าหมายสำคัญการ ปฏิรูปการศึกษารอบนี้ ดร.วรากรณ์ : “เป้าหมายของการปฏิรูปอยู่ที่เด็ก เยาวชน และลูกหลาน ไม่ได้อยู่ที่ในความก้าวหน้าในเรื่องซีของบุคคลที่ทำงานอยู่ในวงการศึกษา หัวใจสำคัญอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรให้ลูกหลานของเรามีคุณภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีได้พูดไว้สองข้อ ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเราจะมาปฏิรูปกัน แล้วดูแต่ในเรื่องของโครงสร้างเพียงอย่างเดียว แม้ว่าโครงสร้างจะต้องมีการปรับปรุงบ้าง แต่จุดสนใจไม่ควรไปที่เรื่องของโครงสร้าง อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เด็กได้รับประโยชน์มากที่สุด ควรมุ่งเน้นไปที่ตัวเด็ก ถ้าเริ่มคิดที่จะไปจากกรอบการบริหารไปถึงโรงเรียน ขอให้คิดกลับทาง ควรจะเริ่มต้นที่ตัวเด็กก่อน ตรงไปที่โรงเรียนแล้วย้อนกลับไปว่าต้องบริหารอย่างไร เพื่อจะได้สิ่งที่เราต้องการ” “เด็กจะดีได้ต้องมาจากครู ถามว่าแล้วครูที่ดีจะมาจากไหน ต้องไล่ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไปเริ่มต้นต้องพัฒนาพื้นฐานเป็นทบวง กว่าจะไปถึงครูถึงเด็ก ผมว่าก็หายไประหว่างทางเรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าคิดกลับกันเริ่มต้นจากเด็กว่าเด็กต้องการอะไรบ้าง อะไรที่ทำให้โรงเรียนดีขึ้น อะไรที่ทำให้เด็กดีขึ้น ก็ต้องย้อนกลับไปว่าต้องการอะไรบ้าง สิ่งนี้อาจจะเป็นวิธีการที่จะช่วยให้การมองเห็นเรื่องนี้ชัดเจนมากขึ้น” พูดถึง “สมัชชา ปฏิรูปการรูปการศึกษา” เหมือนหรือต่างกับสมัชชาสุขภาพ “สมัชชาปฏิรูปการรูปการศึกษา เป็นการเชิญคนหลากหลายมาประชุมกันและรับฟังความคิดเห็น แล้วก็พูดกันถึงเรื่องวิธีปฏิบัติ ลำดับความสำคัญความเห็นต่างๆ เพราะว่าเป้าหมายได้ออกมาแล้ว ให้วิธีการปฏิบัติทั้งหลายคณะกรรมการของอาจารย์ยงยุทธ ยุทธวงศ์ได้ออกมาแล้วก็เหลือแต่ปฏิบัติ ทางสมัชชาฯ จะฟังความเห็นคนที่หลากหลาย เพื่อให้การปฏิรูปการศึกษา มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะการศึกษานั้นสำคัญเกินกว่าการที่จะทิ้งไว้ในมือคนในวงการศึกษา ต้องมอบให้กับคนที่อยู่นอกวงการศึกษาด้วย และคงไม่เหมือนกับสมัชชาสุขภาพ สำหรับสมัชชาการปฏิรูปการศึกษาในความเห็นส่วนตัวคิดว่าหมายถึงการประชุม มากกว่า” เมื่อถามถึงความไม่เป็น ธรรมทางสังคมที่หลบซ่อนอยู่ลึกๆ ในระบบการศึกษาไทย ดร.วรากรณ์ ได้ยกกรณีที่หลายมหาวิทยาลัยพยายามตั้งแคมป์กวดวิชาเพื่อการสอบตรงของเด็ก เพื่อฝึกเด็กให้เข้ามาในมหาวิทยาลัย โดยเห็นว่า จะเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างเด็กที่มีเงินและไม่มีเงิน “คนอื่นหรือมหาวิทยาลัยเอกชนทำคงไม่เป็นไร แต่ประเด็นคือเป็นเรื่องเชื่อมต่อโยงกับอาจารย์คณะที่เข้ามหาวิทยาลัย อย่างนี้ก็ไม่ค่อยดี เพราะว่าทำให้เกิดข้อได้เปรียบเสียเปรียบขึ้นมา ว่า ในการติวในการสอน ถ้ามีอาจารย์จากคณะนั้น สถาบันนั้นมา ก็ทำให้เกิดความสงสัย ความกริ่งเกรงว่ามีข้อได้เปรียบเสียอะไรเกิดขึ้น (จากการเข้าแคมป์กวดวิชาของสถาบันนั้นๆ) ก็คล้ายๆ กับโรงเรียนติวที่มีอาจารย์จากโรงเรียนนั้นมาสอนเรื่องนี้ไม่ค่อยสวย” “มหาวิทยาลัยต้องพิจารณา หลายคณะทำแบบนี้สมควรทำหรือไม่ ถ้าเอกชนทำก็ทำโดยที่ต้องไม่มีอะไรเกี่ยวพันกับมหาวิทยาลัยหรือคณะเลย แต่ถ้ามีคนของคณะเข้าไปเกี่ยวทำให้สงสัยในการได้เปรียบเสียเปรียบ เหมือนกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัยไปตั้งโรงเรียนกวดวิชเสียเอง ผมก็ไม่เห็นด้วย ซึ่งทางสภามหาวิทยาลัยมีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการกำกับดูแล ฉะนั้นต้องกำกับในเรื่องนี้ว่าสมควรให้มีเหตุการณ์ลักษณะนี้หรือไม่” จริงหรือไม่ที่รัฐลงทุน การศึกษาไปที่อุดมศึกษามากกว่าการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดร.วรากรณ์ : “คงไม่จริง ถ้าการลงทุนในที่นี้หมายถึงเงินที่ลงไปนั้น เงินส่วนใหญ่ลงไปที่การศึกษาพื้นฐานมาก ส่วนอุดมศึกษาได้เพียง 50,000 ล้านบาทต่อปี การศึกษาขั้นพื้นฐานได้ตั้ง 250,000 ล้านบาท ถ้าดูในรูปงบประมาณ แต่ถ้าดูในรูปความช่วยเหลืออุดมศึกษาได้รับการช่วยเหลือมาก มีการกู้ยืมต่างๆ ทำให้คนในอุดมศึกษาสามารถได้เรียน ได้รับทุน เรียกว่าได้มาก เพราะคนที่เรียนในมหาวิทยาลัยไม่ได้จ่ายตามทุนจริง เช่น คนเรียนแพทย์ต้นทุนปีละล้านกว่าบาท วิศวกรรมศาสตร์ประมาณปีละ 800,000 กว่าบาท ต้นทุนคนที่เรียนจ่ายเพียงปีละไม่กี่หมื่นบาท อย่างนี้เท่ากับว่ารัฐเก็บเงิน 800,000 บาท แต่บอกว่าช่วยเหลือคนที่เรียน โดยออกเองแค่ 50,000 บาท อีก 750,000 บาทเอาคืนไป ถ้าถามว่าคนเหล่านี้เป็นใครก็คนมีฐานะมีการศึกษาทั้งนั้น ที่ลูกสามารถจะไปสอบเข้าได้ คนพวกที่ไม่มีฐานะก็แพ้ตกออกตั้งแต่ม.5 ม.6 ป.4 ป.5 ป.6 แล้ว” เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ดร.วรากรณ์ เห็นว่า แพ้คัดออกเด็กพวกนี้ ต้องได้รับการอุดหนุนช่วยเหลือด้านการศึกษาด้วย มีการศึกษานอกระบบตามอัธยาศัยที่มีประสิทธิภาพ "แน่นอนประเทศไทยจำเป็นต้องการคนที่มีการศึกษาทางด้านแพทย์ วิศวกร แต่ว่าไม่ใช่ในราคาที่ต่ำ ต้องเก็บในราคาที่สูงกว่านี้ เชื่อว่าแพงกว่านี้พ่อแม่คนที่มีลูกเรียนวิศวกรรมศาสตร์ก็ยินดีที่จะจ่าย ได้ คนไหนไม่มีทุนก็ให้เรียนฟรีไป นำเงินที่ได้มากๆ จากคนมีฐานะที่สามารถจะจ่ายได้มาเก็บไว้ แล้วนำมาเป็นทุนไว้ให้คนที่ไม่มีได้รับสิทธิตรงนี้ เราจะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน ส่วนนี้ให้กับอุดมศึกษา แต่ให้กับสพฐ. (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน) แทน” เมื่อถามว่า สุดท้ายการศึกษาจะช่วยสร้างความสมานฉันท์ ช่วยแก้ความทุกข์ยากของแผ่นดิน ได้อย่างไรบ้าง ดร.วรากรณ์ นั่งคิดอยู่นาน ก่อนจะยอมรับว่า “ยังหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้ กำลังคิดและทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่”

ข่าวกระทรวงศึกษาธิการ+คณะกรรมการนโยบายวันนี้

สสวท.เชิญร่วมชมพิธีเปิดออนไลน์งาน "เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 21"

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จัดงาน "เทศกาลภาพยนตร์วิทยาศาสตร์เพื่อการเรียนรู้ ครั้งที่ 21" ภายใต้แนวคิด "งานสีเขียว (Green Jobs)" ในวันที่ 31 ตุลาคม 2568 เวลา 13.30 น. โดยมี รองศาสตราจารย์ ดร.ธีระเดช เจียรสุขสกุล ผู้อำนวยการ สสวท. ผู้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย ดร.ชัยวุฒิ เลิศวนสิริวรรณ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สสวท. และคณะผู้บริหารระดับสูงจากองค์กรร่วมจัดเข้าร่วมพิธี ได้แก่ Ms. Sweta Madhuri Kannan ผู้แทนเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิ... "วรัท" ยอมรับหลักสูตรอบรมลูกเสือล้าสมัย สลช.เร่งปรับปรุงให้โดนใจวัยโจ๋ — ดร.วรัท พฤกษาทวีกุล รองปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ทำหน้าที่เลขาธิการลูกเสือแห่งชาติ เป...

บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกั... โฟร์โมสต์ผนึกกำลังพันธมิตร "ส่งต่อรอยยิ้มให้เด็กไทย" ปีที่ 5 — บริษัท ฟรีสแลนด์คัมพิน่า (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมโฟร์โมสต์...