เมื่อพูดถึง "การฆ่าตัวตาย" หลายคนมักนึกถึงโรคซึมเศร้าเป็นอันดับแรก แต่ในความเป็นจริง ปัจจัยที่ผลักดันให้ใครสักคนตัดสินใจจบชีวิตนั้นมีหลากหลายกว่าที่เราคิด จากรายงานสถิติการฆ่าตัวตายในประเทศไทย ปี 2566 (ตุลาคม 2565 - กันยายน 2566) พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากถึง 5,172 คน หรือเฉลี่ยวันละ 14 คน คิดง่าย ๆ คือมีคนหนึ่งคนจบชีวิตลงในทุก ๆ 2 ชั่วโมง และยังมีผู้พยายามฆ่าตัวตายสูงถึง 31,110 คน หรือเฉลี่ยวันละ 85 คน ตัวเลขเหล่านี้ชวนให้สะเทือนใจ และสะท้อนให้เห็นว่า ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย
ที่น่าสนใจคือ ปัจจัยที่นำไปสู่การฆ่าตัวตายไม่ได้มีเพียงโรคซึมเศร้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรคทางกายเรื้อรัง (31%) โรคจิตเวช (27%) การใช้แอลกอฮอล์ (21.1%) รวมถึงปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกมากมาย สถิติทั้งหมดนี้บอกเราได้ชัดเจนว่า เบื้องหลังของการตัดสินใจครั้งสุดท้าย มีเรื่องราวมากกว่าที่เห็น และบางครั้งอาจเป็นสิ่งที่คนรอบตัวไม่ทันได้สังเกตเห็นเลยก็ได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตาย
นอกจากโรคซึมเศร้าแล้ว ยังมีภาวะสุขภาพจิตอื่นที่เพิ่มความเสี่ยง เช่น โรคไบโพลาร์ โรควิตกกังวลรุนแรง PTSD (โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ) หรือโรคจิตเภท ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรับมือกับความทุกข์ได้ยากขึ้น
ปัญหาทางเศรษฐกิจ หนี้สิน ปัญหาครอบครัว การถูกกดดันในที่ทำงาน หรือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ล้วนเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้คนรู้สึกหมดหนทาง และอาจนำไปสู่ความคิดฆ่าตัวตาย
การใช้สารเสพติดหรือแอลกอฮอล์มากเกินไป อาจทำให้ความสามารถในการควบคุมอารมณ์และเหตุผลลดลง เพิ่มความหุนหันพลันแล่น และทำให้ตัดสินใจในทางที่ผิดได้ง่ายขึ้น
ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง หรือโรคที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต เช่น มะเร็ง โรคทางระบบประสาท หรืออาการเจ็บปวดเรื้อรัง อาจรู้สึกสิ้นหวังและต้องการยุติความทุกข์ทรมานของตนเอง
บางครั้ง การถูกสังคมกดดัน เช่น การถูกกลั่นแกล้ง (Bullying) การเผชิญกับอคติทางเพศสภาพ หรือการถูกบังคับให้ต้องดำเนินชีวิตตามค่านิยมที่ตัวเองไม่สามารถรับไหว อาจทำให้คนรู้สึกไร้ทางออก
เราจะช่วยกันป้องกันได้อย่างไร?
คุณไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
หากคุณหรือคนใกล้ตัวกำลังเผชิญกับความคิดฆ่าตัวตาย ขอให้รู้ว่าคุณไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีคนที่พร้อมจะช่วยเหลือและรับฟังคุณเสมอ โรงพยาบาลสุขภาพจิต BMHH มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตที่พร้อมให้คำปรึกษา ชีวิตมีค่า และยังมีคนที่รักและห่วงใยคุณเสมอ.
ในวันที่คุณต้องตื่นเช้าขึ้นมา ทั้งที่ยังรู้สึกหมดแรง ทั้งที่ใจไม่ไหว แต่ก็ต้องฝืนเดินต่อ คุณไม่ได้เผชิญสิ่งนี้เพียงลำพัง หลายคนอาจคิดว่า...เหนื่อยก็พัก เดี๋ยวก็หาย แต่ในความเป็นจริง เมื่อความเหนื่อยล้าสะสมทั้งกายและใจ จนเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ความสัมพันธ์ หรือหน้าที่การงาน นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของความเครียดเรื้อรัง หรือแม้แต่โรคซึมเศร้าโดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว สัญญาณเตือนว่า...ใจคุณอาจไม่ไหวแล้ว รู้สึกหมดแรงแม้ไม่ได้ใช้แรงกาย นอนไม่หลับ หรือหลับมากเกินไป ไม่มีความสุขกับสิ่งที่เคยชอบ
ซึมเศร้า - แพนิค - วิตกกังวล วิธีแยกอาการ และแนวทางการรักษา
—
ทุกวันนี้ คำว่า "ซึมเศร้า" "แพนิค" และ "วิตกกังวล" ถูกพูดถึงกันมากขึ้น แต่หลายคนยังแยกไม่ออก...
ทำไมความเศร้าบางครั้งอาจไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า? รู้จัก "โรคไบโพลาร์" ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
—
ในยุคที่ทุกคนต้องเผชิญกับความเครียดและปัญหาต่าง ๆ จากการใช้ชีวิตใ...
ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น Masked Depression ภัยเงียบที่คุณอาจมองไม่เห็น
—
มาทำความความรู้จักกับ "ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น" หรือ Masked Depression เป็นภาวะที่หลายคน...
อินเตอร์เนชั่นแนล เอสโอเอส เปิดผลสำรวจเนื่องในวัน "Blue Monday": โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และโรคแพนิค ครองแชมป์ปัญหาสุขภาพจิตในที่ทำงาน
—
ความเครียดและควา...
ต้องทานยาไปตลอดชีวิตไหม? มาทำความเข้าใจการรักษาโรคซึมเศร้ากันเถอะ
—
โรคซึมเศร้าเป็นโรคที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลก แม้ว่...
4 ขั้นตอนการดูแลจิตใจตัวเองของผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยซึมเศร้า
—
"เหนื่อยไหม?" คำถามที่แพทย์มักถามญาติผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเสมอ เพราะการดูแลคนที่เรารักที่กำลังเผชิญ...
โรคซึมเศร้าไม่มีทางออกจริงหรือ? รู้จักทางเลือกในการรักษาเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น
—
"โรคซึมเศร้า" อาจเป็นคำที่หลายคนคุ้นเคย แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รู้ว่าโรคนี้สามารถร...
การพัฒนาแอปพลิเคชัน "PHUP โฮมฮัก ฮีลใจ วัยทีน"
—
สถานการณ์สุขภาพจิตในประเทศไทยจากรายงานสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ภาวะด้านสังคม...