บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนความสามารถในการทำกำไรต่อเนื่อง แม้ภาวะเศรษฐกิจโลกยังคงมีความท้าทาย โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 34,501 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของยอดขายแบบ organic sales ได้รับแรงหนุนจากกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง ขณะที่กำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีกระแสเงินสดแข็งแกร่งต่อเนื่องที่ 4,127 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568
                                                                                                                                        นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า "ผลประกอบการไตรมาส 3 แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวของไทยยูเนี่ยน ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน เรายังคงเห็นสัญญาณการเติบโต ปริมาณการขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นที่แข็งแกร่งในระดับ 19% สะท้อนว่าเรากำลังดำเนินกลยุทธ์ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ทั้งในด้านการเพิ่มความคล่องตัวของการดำเนินงาน การเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก และการต่อยอดศักยภาพการแข่งขันของแบรนด์ในพอร์ตทั้งหมดของบริษัท"
                                                            
                                                                                                                            
ในไตรมาส 3 บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,549 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยเนื่องจากกำไรขั้นต้นในไตรมาส 3 ของปี 2567 นั้นอยู่ในระดับสูงเป็นพิเศษ โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งมีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการบริหารพอร์ตผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพและต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์น้ำที่ลดลง ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทนั้นอยู่ที่ 19% ซึ่งอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ 18.5-19.5%
กำไรสุทธิปรับปรุง (ไม่รวมค่าใช้จ่ายด้าน Transformation) อยู่ที่ 1,516 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิตามที่ประกาศนั้นอยู่ที่ 1,304 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากต้นทุนทางการเงินและภาษีที่ลดลง ซึ่งช่วยบรรเทาแรงกดดันต่ออัตรากำไรและสะท้อนความสามารถของบริษัทในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก
โครงการด้าน Transformation ของบริษัท ซึ่งได้แก่ โปรเจกต์ Sonar และ โปรเจกต์ Tailwind ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 โดยค่าใช้จ่ายจากโครงการดังกล่าวยังส่งผลต่อกำไรในระยะสั้น แต่ไทยยูเนี่ยนคาดว่าค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะทยอยลดลงตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังเดินหน้าปรับโครงสร้างการบริหารงานเพื่อเพิ่มความคล่องตัวและประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุนในกระบวนการผลิต การจัดซื้อ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายสุทธิ 118 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2570
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจหลักของไทยยูเนี่ยนยังคงแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัว แม้ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแปรรูป ยอดขายลดลง 3.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากผลกระทบของอัตราแลกเปลี่ยน ขณะที่ปริมาณการขายยังทรงตัว ในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทะเลแช่แข็ง ยอดขายเติบโต 5.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาสที่ 13.8% ด้วยแรงหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในหลายด้าน โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารสัตว์น้ำที่ทั้งยอดขายและปริมาณการขายนั้นเติบโต สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง ยอดขายเติบโต 6.2% ในสกุลเงินบาท และเติบโต 14.2% ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับปีก่อน ด้วยแรงหนุนจากยอดขายในสหรัฐฯ และยุโรปที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
สถานะทางการเงินแข็งแกร่ง ระดับ "A+" สะท้อนความเชื่อมั่นต่อเนื่อง
ฐานะการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Interest-Bearing Debt to Equity) อยู่ที่ 1.1 เท่า และมีอัตราหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ในระดับที่ 4.7 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางการเงินและความสามารถในการปรับตัวของบริษัท ในการขับเคลื่อนการเติบโตสู่อนาคต ทั้งนี้ บริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ "A+" ด้วยแนวโน้ม "Stable"
ในปี 2568 ไทยยูเนี่ยนยังสามารถระดมทุนด้าน Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล มูลค่ารวมกว่า 24,000 ล้านบาท โดยนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง Blue Bond และ Sustainability-Linked Bond ภายในธุรกรรมเดียวกัน ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาว และพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573
นายธีรพงศ์ กล่าวเสริมว่า "เราเดินหน้าสู่การปิดปี 2568 ด้วยความแข็งแกร่ง พร้อมวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จในปี 2569 ไทยยูเนี่ยนมุ่งลดความซับซ้อนของกระบวนการต่างๆ เพิ่มความคล่องตัวและความรวดเร็วในการทำงาน เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล (Marine Health and Nutrition)"
                            
                            ไทยยูเนี่ยนเปิดยอดขายไตรมาสแรกปี 68 รับ 2.98 หมื่นล้านบาท ด้วยกำไรสุทธิปรับปรุง ขยายตัว 9 เปอร์เซ็นต์ พร้อมทำสถิติอัตรากำไรขั้นต้นโตแกร่ง 18.8 เปอร์เซ็นต์
                        
                            อลจี โชว์ฟอร์มแกร่ง เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2568
                        
                            SCGD เผยไตรมาส 3 และ 9 เดือน ปี 2568 กำไรเพิ่ม 37% ท่ามกลางความท้าทายเศรษฐกิจ เร่งผลิต-ส่งออกเวียดนามเด่น เตรียมรับดีมานด์ตลาดอาเซียนโต ดันสินค้า HVA เข้าถึงผู้บริโภคทุกไลฟ์สไตล์ หนุนศักยภาพแข่งขัน
                        
                            ทีเอ็มบีธนชาต รายงานกำไรสุทธิ 5,299 ล้านบาท ในไตรมาส 3 รวม 9 เดือน ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 15,399 ล้านบาท ด้านคุณภาพสินทรัพย์มีเสถียรภาพ แนวโน้มหนี้เสียทรงตัว
                        
                            STELLA กวาดยอดขายถึงไตรมาสที่ 3 ทะลุ 1,300 ล้าน โตขึ้น 200% เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 900 ล้าน
                        
                            TSE พร้อมรุกพลังงานสะอาด-ธุรกิจสุขภาพ สร้างการเติบโตยั่งยืน
                        
                            IROYAL หุ้นเด่นน่าจับตา แจกวอร์แรนต์ ฟรี แถมกำไรโตแรง
                        
                            TFG มั่นใจปี 68 รายได้เติบโต 15% ทำนิวไฮต่อเนื่อง