เจโทรเผยผลสำรวจมาตรฐานการแข่งขันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับอาเซียนเพื่อต่อกรกับ จีน-อินเดียในงาน Auto Supporting Industry Conference ครั้งที่ 5 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--24 มี.ค.--เจโทร

จากรายงานสำรวจความสามารถในการแข่งขันอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์อาเซียนเชิงเปรียบเทียบกับประเทศจีนและอินเดียขององค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ เจโทร พบว่า ประเทศในอาเซียนจำเป็นจะต้องลดต้นทุนเพื่อการแข่งขันในอุตสาหกรรมยานยนต์ เนื่องจากมีจุดอ่อนในด้านอัตราส่วนต้นทุนของวัตถุดิบที่ยังคงสูงอยู่ แม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในด้านการผลิตและการใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะการใช้เหล็กและพลาสติกแล้วก็ตาม นอกจากนี้การเพิ่มประสิทธิภาพของแม่พิมพ์ Mould and Die และเครื่องจักรกลด้วยการยกระดับและใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น รวมถึงการรักษาระดับความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนจากแรงงานที่มีฝีมือ จะช่วยให้อาเซียนสามารถคงความแข็งแกร่งในด้านการแข่งขันเหนือจีนและอินเดียได้ ประเทศในกลุ่มอาเซียนควรที่จะปรับปรุงและสร้างความแข็งแกร่งด้านวิศวกรรมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลดีในด้านต่างๆ เช่น เครื่องมือการผลิตที่จะดีขึ้น ระยะเวลาการผลิตที่จะสั้นลง และคุณภาพของการผลิตที่จะสูงขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดจะส่งผลต่อความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตในระยะยาว โอกาสที่ดีสำหรับกลุ่มประเทศอาเชียนนั้นกล่าวกันว่าขึ้นอยู่กับความพยายามที่จะทำให้เกิดข้อตกลงการค้าเสรีในภูมิภาคและศักยภาพการขยายตลาดเข้าสู่ประเทศจีนและอินเดีย “งาน ASEAN Auto Supporting Industry Conference ครั้งที่ 5 เป็นงานที่มีลักษณะพิเศษ และแตกต่างจากงานประชุมครั้งที่ผ่านๆ มา ด้วยว่างานในครั้งนี้จะให้ความสำคัญกับการสัมมนามากกว่าการแสดงนิทรรศการชิ้นส่วนรถยนต์ บทบาทของเจโทรในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ระดับอาเซียน คือการปรับปรุงคุณภาพและความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตของผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในระดับท้องถิ่น โดยการพัฒนา “ระบบรับรองความสามารถบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์” หรือ “Skill Certification System for Automotive Industry” และการยกระดับทรัพยากรบุคคลในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับท้องถิ่นด้วยการจัดให้มี “ศูนย์ฝึกอบรม Training of the Trainers” จากแนวทางดังกล่าว เจโทรตั้งเป้าหมายที่จะรวมกลุ่มตลาดอุตสาหกรรมยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงบัดนี้ เจโทรและเจโอดีซี (JODC) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์มากกว่า 70 คนเพื่อดำเนินโปรแกรม “การปรับปรุง คุณภาพ ต้นทุน และ การส่งมอบ (Quality, Cost, Delivery (QCD))” ในภูมิภาคนี้” นายคุนิโอะ สุมิโยชิ รองประธานบริหาร เจโทร สำนักงานใหญ่ กล่าว ในรายงานยังเปิดเผยถึงรายละเอียดของจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรคและโอกาสของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนอีกด้วย ตัวอย่างเช่นประเทศไทยที่มีความเป็นผู้นำด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ยานยนต์ วิศวกรรม และระบบการผลิตในเกือบทุกชิ้นส่วนซึ่งเป็นผลมาจากการสร้างสมพื้นฐานของเทคโนโลยีที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้ผลิตรถยนต์และซัพพลายเออร์ระดับโลก ในขณะที่มาเลเซีย อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันน้อยกว่าไทย อย่างไรก็ดี ประเทศมาเลเซียมีจุดแข็งในด้านวิศวกรรม เนื่องจากหลายบริษัทในประเทศนี้ มีแผนกวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (R&D) และได้มีการลงทุนในการเพิ่มศักยภาพของส่วนนี้มากเป็นพิเศษ สำหรับประเทศฟิลิปปินส์นั้น โรงงานมีกำลังการผลิตเหลือเฟือเนื่องจากตลาดรถยนต์นั้นซบเซา อย่างไรก็ดีประเทศนี้ก็ยังคงเป็นประเทศที่มีข้อได้เปรียบในงานแม่พิมพ์ Mould and Die สำหรับประเทศอินโดนีเซีย ถึงแม้ว่าจะมีต้นทุนแรงงานถูกกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาค แต่สืบเนื่องจากปริมาณความต้องการที่ต่ำและต้นทุนวัตถุดิบที่สูง ประเทศนี้จึงอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกัน “นอกเหนือไปจากข้อมูลอันเป็นประโยชน์ข้างต้นแล้ว ประเทศในกลุ่มเอเชียนที่เข้าร่วมงานจะได้เรียนรู้จากการประชุมถึงเรื่องการอยู่รอดและเอาชนะในเชิงธุรกิจเนื่องจากจะได้รับฟังการนำเสนอภาพรวมและแนวโน้มของตลาดยานยนต์ระดับโลกในปี 2549-2555 และแผนการจัดซื้อของผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่จากผู้นำด้านธุรกิจยานยนต์” นายสุมิโยชิกล่าวเสริม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คุณ ชุติมา ดวงพาณิช ฝ่ายประชาสัมพันธ์ เจโทร กรุงเทพ โทรศัพท์ 0 22253 6441 ต่อ 147

ข่าวองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศ+อุตสาหกรรมยานยนต์วันนี้

การประชุมหารือเพื่อความร่วมมือพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นครั้งที่ 5

เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพฯ (เจโทร กรุงเทพฯ) และสถาบันยานยนต์ (TAI) ได้ร่วมจัด "การประชุมหารือเพื่อความร่วมมือพัฒนา อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ระหว่างประเทศไทยและญี่ปุ่น ครั้งที่ 5" รูปแบบไฮบริด ทั้ง physical onsite และออนไลน์ขึ้น นายกฤศ จันทร์สุวรรณ รองอธิบดี สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (OIE) กระทรวงอุตสาหกรรม และนายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการ สถาบันยานยนต์ (TAI) และคณะในฐานะผู้แทนฝ่ายไทย ผู้แทนฝ่ายญี่ปุ่น ประกอบด้วย นายฟุจิโมโตะ ทาเคชิ