เอชเอสบีซี เผยตลาดหุ้นไตรมาส 4/2008 น่าสนใจ

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--ธนาคารเอชเอสบีซี

***ผู้จัดการกองทุนเชื่อแนวโน้มตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) และตลาดหุ้นเกิดใหม่ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังเป็นกลางกับตลาดหุ้น จีน*** ***เงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นเกิดใหม่ในไตรมาส 3/2008 สูงสุดในรอบสองปี*** ผลสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำทั่วโลกรอบล่าสุด โดยธนาคารเอชเอสบีซี เผยผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่คาดตลาดหุ้นมีแนวโน้ม ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4/2008 แต่ยังเห็นแตกต่างกันสำหรับตลาดพันธบัตรและเงินสด มิสบอนนี เท ผู้อำนวยการธุรกิจเอชเอสบีซี พรีเมียร์ การบริหารความมั่งคั่งและกลุ่มตลาดขนาดกลาง ฝ่ายบุคคลธนกิจ ประจำภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารเอชเอสบีซี เผยว่า ถึงแม้ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่ยังกังวลกับผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่มีต่อตลาดหุ้นในประเทศพัฒนาแล้ว แต่พวกเขาได้หันมาให้ความสนใจลงทุนระยะยาวในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา เอเชีย- แปซิฟิก และตลาดหุ้นเกิดใหม่เพราะราคาและมูลค่าหุ้นที่น่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ การสำรวจความคิดเห็นของบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำของโลกรวม 13 แห่ง1 ที่ธนาคารเอชเอสบีซีจัดทำเป็นรายไตรมาส ยังได้วิเคราะห์ปริมาณ เงินทุนภายใต้การบริหารจัดการ (Fund under management: FUM) กระแสเงินลงทุนทั่วโลก (Global money flows) และความเห็นของผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับ การลงทุนในตลาดตราสารต่างๆ โดยกระแสเงินลงทุนสุทธิ (Net money flow)2 คำนวณจากความเคลื่อนไหวของปริมาณเงินทุนภายใต้การบริหารจัดการ เปรียบเทียบ กับความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดตราสารประเภทเดียวกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2008 ปริมาณเงินทุนภายใต้การบริหารจัดการของบริษัทจัดการกองทุน 13 แห่งที่ร่วมในการสำรวจครั้งล่าสุดนี้อยู่ที่ 3.84 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 17.45 ของปริมาณเงินลงทุนที่มีอยู่ทั่วโลก (Total global FUM)3 ผลการสำรวจพบว่าในช่วงไตรมาส 3/2008 มีเงินทุนสุทธิไหลออกรวม 46.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้ปริมาณเงินลงทุนภายใต้การบริหารจัดการ ของผู้จัดการกองทุนดังกล่าวลดลงถึงร้อยละ 10.74 โดยมีเงินทุนไหลออกจากกองทุนหุ้นราว 30.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ไหลออกจากกองทุนที่ลงทุนในพันธบัตร ประมาณหนึ่งในสาม หรือคิดเป็นเงิน 79.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และไหลออกจากกองทุนผสมที่ลงทุนทั้งในหุ้นและพันธบัตรจำนวน 59.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ กองทุนที่ลงทุนในตลาดเงินและกองทุนประเภทอื่นๆ มีเงินทุนไหลออกจำนวน 600 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ตามลำดับ มิสบอนนี เท กล่าวว่า “ความกลัวเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยทำให้ตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตรทั่วโลกตกต่ำในช่วงไตรมาสที่ 3/2008 โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีปริมาณเงินลงทุนไหลออกสูงสุด เพราะนักลงทุนเกรงว่าวิกฤติการเงินในประเทศที่พัฒนาแล้วจะส่งผลกระทบทำให้การ ลงทุนในตลาดเกิดใหม่มีความเสี่ยงมากขึ้น ตลาดพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐอเมริกามีเงินทุนไหลเข้าสูงสุดเพราะนักลงทุนหันไปลงทุนในตลาดตราสารที่มั่นคง ปลอดภัยกว่า กระแสเงินลงทุนสุทธิ เทียบเป็นร้อยละของปริมาณเงินลงทุนภายใต้การบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ ประเภทตลาด และตราสาร สิ้นไตรมาส3/2008 สิ้นไตรมาส2/2008 ตลาดหุ้นเกิดใหม่(Emerging markets equities) - 11.1% ddddd + 4.1% ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น) - 5.5% -5.5% - 20.1% (Asia-Pacific ex-Japan equities) ตลาดหุ้นจีน(Greater China equities) - 4.6% ddd + 2.0% ตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกา(US bonds) + 9.4% - 0.2% ความเห็นของผู้จัดการกองทุนต่อตลาดตราสารประเภทต่างๆ ในไตรมาสที่ 4/2008 มีสาระสำคัญดังนี้ - ตลาดหุ้น: ร้อยละ 50 ของผู้จัดการกองทุนที่ร่วมในการสำรวจครั้งนี้ ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นกับการลงทุนในตลาดหุ้น เทียบกับร้อยละ 22 ที่มี ความเห็นเช่นนี้ในไตรมาสก่อนหน้า และมีผู้จัดการกองทุนร้อยละ 30 ที่เห็นว่าควรลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้น เทียบกับร้อยละ 44 ในไตรมาสก่อนหน้า - ตลาดพันธบัตร: ร้อยละ 50 ของผู้จัดการกองทุนเห็นว่าตลาดพันธบัตรน่าสนใจและควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เพิ่มจากร้อยละ 44 ในการสำรวจครั้ง ก่อน ร้อยละ 20 เห็นว่าควรลดน้ำหนักการลงทุน เทียบกับการสำรวจครั้งก่อนที่ไม่มีใครลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดพันธบัตรเลย - เงินสด: มีผู้จัดการกองทุนร้อยละ 25 ที่เห็นว่าควรให้น้ำหนักกับการถือครองเงินสด เทียบกับร้อยละ 38 ที่มีความเห็นนี้ในไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 13 เห็นว่าควรลดการถือครองเงินสด เทียบกับไตรมาสก่อนที่ผู้จัดการกองทุนทุกรายให้ความสำคัญกับการถือครองเงินสด มิสเท กล่าวเสริมว่า “ความเห็นของผู้จัดการกองทุนในครั้งนี้เป็นการมองแนวโน้มระยะยาวในขณะที่ตลาดยังมีความผันผวน แนวโน้มด้านจิตวิทยา นักลงทุนหันมาสนใจตลาดหุ้นมากขึ้น เพราะมูลค่าและราคาหุ้นน่าสนใจขึ้น แต่ยังคงสะท้อนความระมัดระวังในการลงทุนในพันธบัตรและเงินสด อันจะเห็นได้จาก ความคิดเห็นของผู้จัดการกองทุนที่ยังแตกต่างกันอยู่ ความเห็นของผู้จัดการกองทุนต่อการลงทุนในตลาดภูมิภาคต่างๆ ในไตรมาสที่ 4/2008 มีสาระสำคัญดังนี้ - ตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมตลาดญี่ปุ่น): ร้อยละ 56 ของผู้จัดการกองทุนเห็นว่าควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก (ไม่รวมตลาดญี่ปุ่น) ในไตรมาสที่ 4/2008 นี้ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 44 ในการสำรวจคราวก่อน ขณะที่ผู้จัดการกองทุนที่มีความเห็นเป็นกลางมีจำนวนลดลงจาก ร้อยละ 33 เหลือร้อยละ 22 ในการสำรวจคราวนี้ - ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging markets equities): ร้อยละ 56 ของผู้จัดการกองทุนให้น้ำหนักกับตลาดนี้ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากร้อยละ 50 ใน การสำรวจเมื่อไตรมาสที่แล้ว ขณะที่มีผู้จัดการกองทุนที่ “เมิน” ตลาดหุ้นเกิดใหม่เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 13 มาเป็นร้อยละ 33 ในการสำรวจคราวนี้ - ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา: ร้อยละ 30 ของผู้จัดการกองทุนเห็นว่าควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เทียบกับร้อยละ 22 ในการสำรวจคราวก่อน ขณะที่ยัง มีผู้จัดการกองทุนร้อยละ 50 เห็นว่าควรลดน้ำหนักการลงทุน เพิ่มจากร้อยละ 44 ในการสำรวจคราวก่อน - ตลาดหุ้นจีน (Greater China equities): ผู้จัดการกองทุนที่ให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนลดน้อยลง จากร้อยละ 63 เหลือเพียงร้อยละ 25 ในการสำรวจคราวนี้ และร้อยละ 13 ยังเห็นว่าควรลดการลงทุน เทียบกับไตรมาสที่แล้วที่ไม่มีผู้จัดการกองทุนรายใดมีความเห็นเช่นนี้เลย - ตลาดพันธบัตรสหรัฐอเมริกา: ผู้จัดการกองทุนร้อยละ 11 เริ่มกลับมาเน้นการลงทุนในตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ในไตรมาสนี้ เทียบกับไตรมาสที่แล้ว ที่ทุกรายพร้อมใจกัน “เมิน” อย่างไรก็ตาม มีผู้จัดการกองทุนเกินกว่าครึ่ง คือ ร้อยละ 56 คงความเห็นว่าตลาดดังกล่าวยังไม่น่าลงทุน เทียบกับร้อยละ 44 ในการสำรวจคราวก่อน - ตลาดพันธบัตรในยุโรป: ร้อยละ 56 หันมาให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดพันธบัตรยุโรป เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 22 ในไตรมาสที่แล้ว และร้อยละ 33 มี ความเห็นเป็นกลาง ลดลงจากร้อยละ 67 ในไตรมาสที่แล้ว มิสบอนนี เท อธิบายว่า “ความเห็นเชิงบวกต่อแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย-แปซิฟิก และตลาดหุ้นเกิดใหม่ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่า ผู้จัดการกองทุนชั้นนำของโลกยังคงมั่นใจในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มกังวลกับภาวะเศรษฐกิจ ชะลอตัวลงในประเทศจีน ซึ่งส่งผลกระทบถึงความเห็นที่มีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีนด้วย ขณะที่ตลาดพันธบัตรในยุโรปน่าสนใจขึ้น อันเนื่องมาจากการที่ ธนาคารกลางหลายแห่งในยุโรปเข้ามาช่วยอัดฉีดสภาพคล่อง พยุงอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นแรงเสริมจิตวิทยาเชิงบวกแก่นักลงทุน” “โดยสรุปคือ นักลงทุนรายย่อยมีโอกาสกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง โดยเลือกตลาดตราสารในบางภูมิภาคที่มูลค่าและราคาน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม ภาวะ เศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้นทั่วโลกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ความไม่แน่นอนยังมีอยู่สูง ความผันผวนของตลาดยังคงมีอยู่ต่อไป นักลงทุนจึงมีแนวโน้ม ลงทุนอย่างระมัดระวัง โดยเน้นการถือครองเงินสดและการลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตร และแบ่งเงินลงทุนกลับเข้ามาในตลาดหุ้นบ้าง โดยเลือกเฉพาะตลาด ที่ให้ผลตอบแทนน่าสนใจ กลยุทธ์หลักสำหรับการลงทุนในช่วงนี้ จึงยังคงเน้นการกระจายเงินลงทุนไปที่ตลาดตราสาร ภาคอุตสาหกรรม และภูมิภาคที่ให้ผล ตอบแทนดีและมีความผันผวนน้อย ตลอดจนใช้แผนการลงทุนตามปกติที่เน้นประโยชน์จากต้นทุนเฉลี่ยของการลงทุน ซึ่งทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุน ระยะยาวอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพ” สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ วรนันท์ สุทธปรีดา, สาวิตรี หมวดเมือง โทรศัพท์ 0-2614-4609, 0-2614-4606

ข่าวธนาคารเอชเอสบีซี+ตลาดหุ้นเอเชียวันนี้

สรุปบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย

โดย มร. เฮโรลด์ แวน เดอ ลินเด ผู้อำนวยการบริหาร ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนในหลักทรัพย์ ภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ธนาคารเอชเอสบีซี 10 ธีมการลงทุนในทศวรรษหน้า เอเชียได้รับอานิสงส์จากกระแสโลกาภิวัฒน์ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา การสะสมความมั่งคั่งทำให้เกิดกระแสหรือแนวโน้มที่แตกต่างหลากหลายทั่วภูมิภาค เช่น การเติบโตของชุมชนเมือง การขยายตัวของชนชั้นกลางในเอเชีย แต่ขณะเดียวกัน ย่อมก่อให้เกิดแนวโน้มความต้องการสภาพแวดล้อมที่สะอาดขึ้น และวิถีชีวิตที่เน้นการรักษาสุขภาพมากขึ้น แนวโน้มเหล่านี้ยังจะดำเนินต่อไป และ

เอชเอสบีซีเผยผู้จัดการกองทุนทั่วโลก เล็งตลาดหุ้นอเมริกาเหนือน่าลงทุน

***ผู้จัดการกองทุนจำนวนมากขึ้นที่ให้ความสนใจปานกลางในตลาดหุ้นเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) และตลาดหุ้นจีน*** ***ผู้จัดการกองทุนทุกรายมองพันธบัตรเอเชียน่าสนใจ*** ธนาคารเอชเอสบีซี เผยผลสำรวจความคิดเห็นบริษัทจัดการกองทุนชั้นนำล่าสุด พบว่า...

ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ได้รับการยกย่อ... ธนาคารเอชเอสบีซี ได้รับการโหวตเป็น ธนาคารเพื่อการค้าระหว่างประเทศยอดเยี่ยมของไทย — ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย ได้รับการยกย่องให้เป็น "ธนาคารเพื่อการค้าระห...

ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย มอบเงินจำนวน 2... ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย บริจาค 2.2 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยฯ — ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย มอบเงินจำนวน 2.2 ล้านบาท แก่มูลนิ...

ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย รู้สึกเป็นเกีย... ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย คว้ารางวัล Best Places to Work — ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับรางวัล Best Places to Work ซึ่งเป็นการรับ...

ธนาคารเอชเอสบีซี ออกบทวิเคราะห์จีดีพีประเ... เอชเอสบีซี เผยบทวิเคราะห์จีดีพีไทย ชี้การใช้จ่ายภาครัฐช่วยหนุนการเติบโตเศรษฐกิจ — ธนาคารเอชเอสบีซี ออกบทวิเคราะห์จีดีพีประเทศไทย ระบุจีดีพีไตรมาส 3 ปี 256...

Funding Societies ได้รับวงเงินสินเชื่อครั้งที่ 3 จาก HSBC เพื่อขยายการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสำหรับ MSME ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การอนุมัติสินเชื่อในครั้งนี้อยู่ภายใต้กองทุน "ASEAN Growth Fund" ของ HSBC ซึ่งเป็นเม็ดเงินรวมกว่า 3.4 พันล้านบาท ตั้งแต่การเริ่มเป็นพันธมิตรกับ Funding Societies ...