พิธีเปิดโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 ณ พื้นที่เพาะปลูกข้าว บริเวณวัดแป้นทองโสภาราม เขตคลองสามวา จังหวัดกรุงเทพมหานคร

28 Jun 2011

กรุงเทพฯ--28 มิ.ย.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ได้จัดพิธีเปิดโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2554 ณ พื้นที่เพาะปลูกข้าว บริเวณวัดแป้นทองโสภาราม ซอยหทัยราษฎร์ 39 ถนนหทัยราษฎร์ เขตคลองสามวา จังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อประชาสัมพันธ์รายละเอียดโครงการ

ให้สาธารณชนได้รับทราบรวมถึงได้มีการลงนามในบันทึกความเข้าใจความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนรวม 5 หน่วยงานในการพัฒนาระบบประกันภัยพืชผลให้ครอบคลุมถึงพืชเศรษฐกิจหลักในอนาคต ได้แก่ สศค. กรมส่งเสริมการเกษตร ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) และสมาคมประกันวินาศภัย โดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยานด้วย

นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวรายงานถึงที่มาและความสำคัญของโครงการว่า โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 นี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ชาติในการพัฒนาการประกันภัยพืชผล ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างระบบประกันความเสี่ยงให้กับเกษตรกรไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรทั่วประเทศมีทางเลือกใช้เครื่องมือประกันภัยเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่างๆ อันได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเข้าร่วมโครงการรัฐจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยสำหรับเกษตรกร

ในส่วนที่เกินกว่า 60 บาทต่อไร่ จากอัตราเบี้ยประกันภัยสุทธิ 129.47 บาทต่อไร่ในกรณีที่เกิดความเสียหาย เกษตรกรผู้ปลูกข้าวที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเอกชนเพิ่มเติมจากการช่วยเหลือผู้ประสบภัยของรัฐปัจจุบัน โดยจำนวนค่าสินไหมทดแทนจะขึ้นกับระยะการเพาะปลูก โดยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 60 วันแรก นับจากวันเริ่มเพาะปลูก จำนวน 606 บาทต่อไร่ และวันที่ 61 ขึ้นไป จนถึงวันสุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยว จำนวน 1,400 บาทต่อไร่

โครงการนี้ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่งจากสมาคมประกันวินาศภัย โดยบริษัทเอกชนผู้รับประกันภัยตามโครงการนี้มีทั้งหมด 8 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเศรษฐกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน) บริษัท นวกิจประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ยืนยันความพร้อมในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนภายใน 15 วัน นับจากวันที่ได้รับเอกสารประกอบการจ่ายสินไหมทดแทนครบถ้วน นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ในฐานะผู้บริหารโครงการจะทำหน้าที่ขับเคลื่อนโครงการจากผู้รับประกันภัยไปยังเกษตรกรทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรรายย่อย

ให้สามารถเข้าถึงกรมธรรม์ประกันภัยได้อย่างทั่วถึง ได้ยืนยันความพร้อมในการขายกรมธรรม์ซึ่งมีช่วงเวลาสอดคล้องกับช่วงเวลาเพาะปลูกของเกษตรกรในแต่ละภูมิภาค โดยเกษตรกรในทุกภาคยกเว้นภาคใต้

จะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยข้าวนาปีได้ที่สำนักงาน ธ.ก.ส. ที่ให้บริการในพื้นที่ที่เกษตรกรมีแปลงเพาะปลูก ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2554 และสำหรับภาคใต้ เกษตรกรจะสามารถซื้อกรมธรรม์ประกันภัยได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2554

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีเปิดโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2554 อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า รัฐบาลได้สร้างระบบประกันความเสี่ยงสำหรับเกษตรกรผ่านโครงการประกันรายได้ไว้แล้ว อย่างไรก็ดี เนื่องจากเกษตรกรไทยยังคงเผชิญความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่างๆ ดังนั้น รัฐบาลนี้จึงได้วางแนวคิดริเริ่มที่จะเพิ่มหลักประกันให้กับเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ การดำเนินการโครงการประกันภัยข้าวนาปีและการลงนามในบันทึกความเข้าใจของภาครัฐและเอกชนในวันนี้ จึงเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ของภาคการเงินและภาคการเกษตร ของไทยในการใช้เครื่องมือประกันภัยที่ภาคเอกชนดำเนินการอยู่แล้วให้เกษตรกรไทยได้รับประโยชน์สูงสุด รัฐบาลมีความเชื่อมั่นว่า การเพิ่มหลักประกันดังกล่าวจะช่วยให้เกษตรกรทุกพื้นที่ทั่วประเทศที่ไม่เคยมีระบบประกันความเสี่ยงภัยธรรมชาติใดๆ มีหลักประกันเพิ่มเติมที่มั่นคง และทำให้ในท้ายที่สุดสามารถหลุดพ้นจากภาวะหนี้สิน มีเงินทุนเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกในรอบต่อไป และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้โครงการประกันภัยข้าวนาปียังถือเป็นการวางรากฐานสู่การขยายผลการรับประกันภัยไปสู่ พืชเศรษฐกิจหลักชนิดอื่นๆ ด้วย ในอนาคตอันใกล้ด้วย