การศึกษาเปรียบเทียบครั้งใหญ่ที่สุดบ่งชี้ว่า การรักษาด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้สาร SIR-Spheres Microspheres ช่วยยืดอายุผู้ป่วยโรคมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดรักษาได้

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ออร์แลนโด--26 มี.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์ / อินโฟเควสท์


ข้อมูลใหม่จากออสเตรเลียยืนยันประโยชน์ของการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสี (Radioembolisation)

ผลลัพธ์จากการศึกษาเปรียบเทียบในศูนย์หลายแห่งครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา ว่าด้วยการรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสี พบว่า การอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้สาร SIR-Spheres microspheres ในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งอื่นๆ และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอดยาวนานขึ้นอย่างมาก ผลของการศึกษาได้รับการนำเสนอในวันนี้ที่การประชุมมะเร็งประจำปีครั้งที่ 65 ของสมาคมศัลยศาสตร์มะเร็งวิทยา (65th Annual Cancer Symposium of the Society of Surgical Oncology) โดยรองศาสตราจารย์ ลอเรนซ์ เบสเตอร์ (Associate Professor Lourens Bester) ผู้อำนวยการแผนกรังสีวิทยา โรงพยาบาลเซนต์วินเซนต์ ในนครซิดนีย์[1]

การอุดเส้นเลือดด้วยรังสี หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่าการบำบัดด้วยการนำรังสีบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย (Selective Internal Radiation: SIRT) เป็นการรักษาโรคมะเร็งตับแบบใหม่โดยใช้ microspheres ที่ถูกฉลากด้วยสารกัมมันตรังสี yttrium-90 (90Y) แพทย์รังสีวิทยาจะนำ microspheres เข้าสู่ร่างกายไปยังจุดที่เกิดมะเร็งโดยตรง ซึ่งจะไม่ทำลายเนื้อเยื่อตับที่ดีที่ยังเหลืออยู่

ศจ.เบสเตอร์และทีมงานทำการประเมินผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ 463 คนที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด และพบว่า “วิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสีมีความเกี่ยวข้องกับอัตราการรอดชีวิตที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและมีความหมายทางคลินิก อันที่จริงแล้วปัจจัยอื่นๆอาจมีผลบ้าง แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย” เขากล่าว

ในบรรดาผู้ป่วย 251 คนที่เป็นโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากมะเร็งลำไส้ใหญ่นั้น พบว่าค่าเฉลี่ยการรอดชีวิตในผู้ป่วย 220 คนที่ได้รับการรักษาด้วย SIR-Spheres microspheres อยู่ที่ 11.6 เดือน เทียบกับ 6.6 เดือนในกลุ่มผู้ป่วย 31 คนที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานหรือได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด (p=0.021) ส่วนในผู้ป่วย 212 คนที่เป็นโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากมะเร็งอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย มะเร็งท่อน้ำดี (41), มะเร็งระบบประสาทและต?อมไร?ท?อ (40), มะเร็งเซลล์ตับ (27), มะเร็งตับอ่อน (13), มะเร็งเต้านม (11), มะเร็งกระเพาะอาหาร (9) และมะเร็งอื่นๆ (71) พบว่า ค่าเฉลี่ยการรอดชีวิตในผู้ป่วย 180 คนที่ได้รับการรักษาด้วย SIR-Spheres microspheres อยู่ที่ 9.5 เดือน เทียบกับ 2.6 เดือนในกลุ่มผู้ป่วย 32 คนที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานหรือได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด (p=0.013)

“อัตราการรอดชีวิตโดยรวมที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการศึกษานี้ ยืนยันถึงผลลัพธ์เชิงบวกที่ได้จากการศึกษาเปรียบเทียบ 2 ครั้งก่อน ซึ่งเป็นการศึกษาขนาดเล็กกว่าในผู้ป่วยโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากมะเร็งลำไส้ใหญ่และไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว ได้แก่ การศึกษาแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมขั้นที่ 3 ในศูนย์หลายแห่ง โดยเฮนด์ลิสซ์ (Hendlisz) และทีมงานในเบลเยียม และการวิเคราะห์แบบจับคู่โดยไซเดนสติกเกอร์ (Seidensticker) และทีมงานจากเมืองมักเดบูร์ก ประเทศเยอรมนี ซึ่งระบุว่าค่าเฉลี่ยการรอดชีวิตอยู่ที่ 10.0 และ 8.3 เดือนตามลำดับ” ศจ.เบสเตอร์ กล่าว[2,3]

ปัจจุบันกำลังมีการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุม 2 การทดลองใหญ่ระดับนานาชาติ เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้สาร SIR-Spheres Microspheres เพิ่มเติมจากการรักษาด้วยเคมีบำบัดซึ่งเป็นแนวทางการรักษาอันดับแรก เพื่อประเมินว่าควรใช้วิธีนี้เป็นวิธีแรกๆในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับที่ลุกลามมาจากมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไม่ นอกจากนั้นยังมีการทดลองแบบสุ่มและมีกลุ่มควบคุมขนาดใหญ่อีก 3 การทดลอง เพื่อประเมินประสิทธิภาพของการรักษาด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสีโดยใช้สาร SIR-Spheres Microspheres ในผู้ป่วยโรคมะเร็งเซลล์ตับ

เกี่ยวกับการศึกษา

การศึกษาที่จัดขึ้น ณ โรงพยาบาลเซนต์วินเซนต์ มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งตับด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสี กับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐานหรือได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดเพียงอย่างเดียว ในสภาวะที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาแล้ว

ผู้ป่วยทุกรายเป็นโรคมะเร็งตับที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยเคมีบำบัด และจากการใช้รังสีตรวจพบว่ามีการแพร่กระจายของโรค นอกจากนั้นผู้ป่วยยังไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การเฉือนเนื้อร้าย หรือการฉีดยาเคมีบำบัดเพื่ออุดหลอดเลือด (chemoembolisation)

การศึกษาครั้งนี้ไม่รวมผู้ป่วยที่มะเร็งแพร่กระจายออกนอกตับ ผู้ป่วยที่มีอาการต่างๆที่ทำให้ต้องใช้เวลาเกินครึ่งหนึ่งขณะตื่นนอนซมอยู่บนเตียง (ECOG performance status >2) ผู้ป่วยที่ตับมีมะเร็งมากเกินไป (มากกว่า 75% ของเนื้อตับถูกแทนที่ด้วยมะเร็ง) และ/หรือ ผู้ป่วยที่ตับที่เหลืออยู่ทำงานบกพร่อง

จากผู้ป่วย 463 คนที่ได้รับการประเมินเบื้องต้นเพื่อเข้ารับการรักษาด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสีนั้น มีผู้ป่วย 63 คนที่ขาดคุณสมบัติ ด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่งดังต่อไปนี้ (a) สภาพหลอดเลือดแดงที่ตับซึ่งไม่สามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้ และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ (b) การที่ตับและปอดมีความเกี่ยวเนื่องกันมาก ซึ่งอาจทำให้ปอดทั้งสองข้างได้รับรังสีมากเกินไป (>30 Gy) หรือ (C) เหตุผลที่เกี่ยวกับการยินยอมของผู้ป่วย อาทิ การที่ผู้ป่วยต้องการรักษาด้วยวิธีอื่นมากกว่า เป็นต้น

“ผู้ป่วยที่ไม่เหมาะจะรักษาด้วยวิธีอุดเส้นเลือดด้วยรังสี จะถูกส่งตัวกลับไปรักษาด้วยวิธีปกติหรือได้รับการดูแลตามความเหมาะสมต่อไป” ศจ.เบสเตอร์ กล่าว “ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ป่วยที่เป็นโรคระยะลุกลามได้ แต่สามารถเป็นผู้ป่วยกลุ่มเปรียบเทียบที่ได้รับการรักษาตามมาตรฐาน”

เกี่ยวกับมะเร็งลำไส้ใหญ่

ในปี 2551 ผู้ป่วย 153,000 คนในสหรัฐอเมริกา และ 333,000 คนในสหภาพยุโรป ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่[4] ราวครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเหล่านี้จะมีภาวะเซลล์มะเร็งแพร่กระจายจากจุดที่เกิดมะเร็งไปยังจุดอื่นๆ โดยเฉพาะตับ และผู้ป่วยราว 90% จะเสียชีวิตจากภาวะตับวาย อันเป็นผลมาจากการแพร่กระจายของมะเร็ง

อ้างอิง:

1. Saxena A, Chua TC, Meteling B et al. Radioembolization with yttrium-90 microspheres is associated with a significantly improved survival compared to conservative therapy after treatment of unresectable hepatic tumors: A large single center experience of 537 patients. 65th Annual Cancer Symposium of the Society of Surgical Oncology, Asia-Pacific Journal of Clinical Oncology 2012; 7 (Supplement s4): Abstract 212.

2. Hendlisz A, Van den Eynde M, Peeters M et al. Phase III trial comparing protracted intravenous fluorouracil infusion alone or with yttrium-90 resin microspheres radioembolization for liver-limited metastatic colorectal cancer refractory to standard chemotherapy. Journal of Clinical Oncology 2010; 28: 3687-3694.

3. Seidensticker R, Denecke T, Kraus P et al. Matched-pair comparison of radioembolization plus best supportive care versus best supportive care alone for chemotherapy refractory liver-dominant colorectal metastases. Cardiovascular and Interventional Radiology 2011; ePub doi: 10.1007/s00270-011-0234-7.

4. International Agency for Research on Cancer. GLOBOCAN 2008: Colorectal Cancer Incidence and Mortality Worldwide in 2008. http://globocan.iarc.fr/factsheets/cancers/colorectal.asp accessed 12/8/2011.

แหล่งข่าว: เซนต์วินเซนต์ ฮอสพิทอล ซิดนีย์ ลิมิเต็ด (St Vincent's Hospital Sydney Limited)

-ปม-

ข่าวผู้ป่วยโรคมะเร็ง+มะเร็งลำไส้ใหญ่วันนี้

โรงพยาบาลวัฒโนสถ Cancer Hospital ร่วมกับ BDMS Wellness Clinic ยกระดับการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง นำมาตรฐาน ICHOM ส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ Care Beyond Cure

โรงพยาบาลวัฒโนสถ Cancer Hospital ไม่หยุดนิ่งพัฒนาคุณภาพการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็ง Care Beyond Cure พร้อมดูแลผู้ป่วยมะเร็งแบบ Total Cancer Care มากกว่าการรักษา คือการใส่ใจทั้งกาย ใจ สังคม และพลังแห่งความหวัง ดูแลคุณภาพชีวิตผู้ป่วยและครอบครัวตั้งแต่วันแรกไปจนถึงหลังการรักษา เพื่อให้กลับไปใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพและสมดุลในทุกช่วงชีวิต โดยนำมาตรฐาน ICHOM (International Consortium for Health Outcomes Measurement) องค์กรที่มุ่งหวังให้ผลลัพธ์การดูแลรักษาของผู้ป่วยมีมาตรฐาน เน้นคุณภาพตั้งแต่

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรรยา จันทร์ผ่อง ภา... มะเร็งปากมดลูก : โรคใกล้ตัวที่ผู้หญิงควรรู้ — ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จรรยา จันทร์ผ่อง ภาควิชาการพยาบาลสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิ...

รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศ... ถ้าป่วยเป็นมะเร็งปอดผมจะรอดมั้ยครับ? — รศ.นพ.ศิระ เลาหทัย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศัลยศาสตร์ทรวงอกเฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้องในช่องทรวงอก โรงพ...