ค่าแรง 300 บาททั่วไทยยังได้ไม่ทั่วถึง

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--4 มี.ค.--สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย

ทีดีอาร์ไอวิเคราะห์ผลกระทบนโยบายค่าแรงวันละ 300 บาทรอบ 2 โดยภาพรวมเป็นนโยบายที่ดีแต่ยังมีลูกจ้างอีกเกือบ 5 ล้านคนยังได้ค่าจ้างต่ำกว่า 300 บาท ส่วนผลกระทบกับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดใหญ่ไร้ปัญหาแต่เอสเอ็มอีขนาดเล็กกว่าแสนรายไปไม่รอด โดยเฉพาะเอสเอ็มอีขนาด 6-9 คน ปรับตัวได้ยาก(ทุนสูง-กำไรน้อย) แนะรัฐเพิ่มช่องทางช่วยเหลือครอบคลุมทั่วประเทศ ดร.ยงยุทธ แฉล้มวงษ์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาแรงงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยเปิดเผยว่า จากการติดตามผลกระทบนโยบายค่าแรงวันละ 300 บาท โดยเปรียบเทียบข้อมูลจากปี 2554 และ 2555 รายไตรมาส มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนนายจ้าง การจ้างงาน และค่าจ้าง สะท้อนการปรับตัวของผู้ประกอบการและการมีงานทำของแรงงาน รวมถึงอัตราค่าจ้างที่ได้รับ โดยพบว่า ในส่วนจำนวนสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ปี 2553 ซึ่งหยุดกิจการไปจำนวนมากนั้น ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 ได้กลับมาฟื้นกิจการใหม่ โดยมีจำนวนนายจ้างเพิ่มกลับขึ้นมาอยู่ในระดับเกือบ 1.05 ล้านราย มีเพียง 1 หมื่นรายที่ล้มหายไป และในช่วงเดียวกันนี้ได้มีการประกาศใช้นโยบายค่าแรงวันละ 300 บาทและต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผลไตรมาส 3 พบว่ามีจำนวนนายจ้างลดลงเหลือราว 9.3 แสนราย หายไปราว 1.1 แสนราย กระจายอยู่ในสถานประกอบการขนาดกลางขนาดเล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีขนาด1-9 คน โดยปัจจัยที่ทำให้ไม่สามารถฟื้นตัวได้คือ ผลกระทบจากน้ำท่วม และการขึ้นค่าจ้าง 300 บาทในระยะเวลาต่อเนื่องกันทำให้กิจการขนาดเล็กกระทบกระเทือนมาก สำหรับผลกระทบต่อลูกจ้างในส่วนของจำนวนผู้ว่างงานและภาวะการมีงานทำ พบว่า เมื่อมีการปรับขึ้นค่าจ้าง300 บาทรอบแรก ส่งผลมีอัตราการว่างงานขยับขึ้นเล็กน้อย จาก 0.6 เป็น 0.8 เปอร์เซ็นต์นายจ้างชะลอการรับคนงานใหม่ โดยผู้ได้รับผลกระทบคือแรงงานใหม่ไม่มีประสบการณ์และแรงงานระดับล่าง ความรู้น้อย แต่ในไตรมาส 3 พบว่าอัตราการว่างงานดีขึ้นโดยมีอัตราการว่างงานลดลง 12 เปอร์เซ็นต์ โดยภาพรวมแทบไม่เห็นผลกระทบ เนื่องจากมีการปรับตัว และการขึ้นค่าจ้างทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าไปมีการดูดซับแรงงานเข้าไปในส่วนทดแทนแรงงานที่ขาดแคลนตึงตัวอยู่แล้ว ขณะเดียวในประเด็นค่าจ้าง แม้จะมีผลดีที่แรงงานกลุ่มใหญ่จะได้ค่าจ้างวันละ 300 บาท แต่ในทางกลับกันผลทางลบคือในระหว่างการปรับตัวยังมีลูกจ้างจำนวนมากเกือบ 5 ล้านคนจากการปรับค่าจ้างทั้งสองรอบที่ยังได้ค่าจ้างต่ำกว่า300 บาท โดยเฉพาะในกลุ่มลูกจ้างเอกชน ซึ่งไม่มีศักยภาพเพียงพอจะจ่ายได้ และเป็นความสมัครใจร่วมกันของลูกจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งบางส่วนเป็นการปรับตัวในลักษณะร่วมทุกข์ร่วมสุขเพื่อให้กิจการอยู่รอดได้ ขณะที่ในส่วนของสถานประกอบการขนาดใหญ่สามารถปรับตัว ได้ประโยชน์จากผลกระทบ เช่น หาแรงงานได้ง่ายขึ้น โดยแรงงานนั้นอาจเคยเป็นเจ้าของหรือลูกจ้างของธุรกิจขนาดเล็กมาก่อน ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า นโยบายค่าจ้างวันละ 300 บาททั่วไทยนั้นสามารถทำได้ในเชิงนโยบาย แต่ต้องดูแลผลกระทบ โดยเฉพาะที่ชัดเจนตอนนี้คือส่งผลกระทบให้กับผู้ประกอบกิจการขนาดเล็กที่มีลูกจ้าง 1-9 คน ที่ต้องอยู่ในภาวะสูญเสียคนงานให้กับสถานประกอบการที่ใหญ่กว่า ซึ่งสามารถจ่ายค่าจ้างที่สูงกว่าได้ส่งผลให้คนงานในกลุ่มกิจการขนาดเล็กที่มีอยู่ประมาณ 5.8 ล้านคน เหลือเพียง 5.5 ล้านคน หายไปเกือบ 3แสน ยิ่งทำให้ขาดแคลนแรงงานตึงตัวมากขึ้น และนายจ้างส่วนหนึ่งที่อยู่ไม่รอดก็ต้องผันตัวเองกลับไปเป็นลูกจ้างในกิจการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะนายจ้างในกลุ่มธุรกิจที่มีลูกจ้าง 6-9 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำไรจากผลประกอบการต่ำอยู่แล้วไม่มีความสามารถในการจ่ายจึงเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เช่น กลุ่มทำสินค้าโอท็อป สินค้าชุมชน และผู้ประกอบการภาคบริการ ซึ่งน่าเป็นห่วงโดยอาจจะมีวิธีแก้โดยให้หันมาธุรกิจครอบครัวทดแทน “ผลกระทบที่น่าเป็นห่วงคือจะทำให้การสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่ทำได้ยากขึ้น ธุรกิจขนาดเล็กเกิดยากและอยู่รอดได้ยาก จากผู้ประกอบหรือนายจ้างจะกลายเป็นลูกจ้างของธุรกิจที่มีขนาดใหญ่สูญเสียความมั่นใจในการสร้างฐานะซึ่งสวนทางกับการสร้างผู้ประกอบการใหม่ จึงควรดูแลเป็นพิเศษ” ดร.ยงยุทธ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการช่วยเหลือภาครัฐจึงควรเพิ่มช่องทางให้นายจ้างสามารถแจ้งความเดือดร้อนได้สะดวกมากขึ้น เพราะผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะกระจายอยู่ทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องมีหน่วยงานภาครัฐกระจายอยู่ทั่วพื้นที่พร้อมให้คำแนะนำในการปรับตัว โดยอาจจะใช้เครือข่ายชมรม เอส เอม อี มหาวิทยาลัยซึ่งรัฐเคยให้การอบรมเพื่อตั้งศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ โดยบางรายอาจจะเข้าไปช่วยเหลือด้านการจัดทำระบบการบริหารจัดการภายใน เทคนิคการบริหารต้นทุนหรือของเสีย ช่วยเหลือด้านช่องทางการตลาดและเทคโนโลยี เงินอุดหนุน แม้กระทั่งการฝึกอบรม ปรับเปลี่ยนอาชีพ และชี้แนะช่องทางอาชีพใหม่ๆหากจำเป็นรวมถึงความร่วมมืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่สนับสนุนกิจการขนาดเล็กในเรื่องการบริหารจัดการ ในลักษณะ B to B (Business to Business)หรือการบริหาร แบบ LEAN เป็นต้น. -กผ- สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย+สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศวันนี้

คปภ. ผนึกกำลังจังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย ทีดีอาร์ไอ จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่งถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย"

คปภ. ผนึกกำลังจังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย ทีดีอาร์ไอ จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่งถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย" Kick off พื้นที่ต้นแบบความปลอดภัยทางถนน รณรงค์ พ.ร.บ. ปี 2568 พร้อมจัดเวทีเสวนาถอดรหัส ถนน 304 เสนอบังคับใช้ กม. ออกมาตรการลดเสี่ยง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) จังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่ง ถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย" ภายใต้

The Active Thai PBS จับมือ TDRI และภาคีฯ ... The Active Thai PBS จับมือ TDRI "ปั้นนักสื่อสารรุ่นใหม่" ร่วมสะท้อนแง่มุมด้านพลังงาน — The Active Thai PBS จับมือ TDRI และภาคีฯ ปั้นนักสื่อสารรุ่นใหม่ สะท...

Thai PBS World เปิดเวทีสาธารณะ 'AI และอนา... ไทยพีบีเอส จัดงาน Thai PBS World Forum เตรียมพร้อมรับมือความเปลี่ยนแปลงสื่อยุค AI — Thai PBS World เปิดเวทีสาธารณะ 'AI และอนาคตของห้องข่าว' เตรียมพร้อมรับ...

ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพ... วางผังภาคกรุงเทพฯ และปริมณฑล — ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เป็นประธานในงาน ...