คปภ. เผยมุมมองผู้เชี่ยวชาญ ประเทศไทยต้องปรับตัวเร่งด่วน รับมือ Climate change ภาคประกันภัย…มีส่วนสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลง

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เผยมุมมองการบรรยายและเสวนา ในหัวข้อ "ตื่นรู้ ปรับเปลี่ยน รับความเสี่ยงภัยจากสภาพภูมิอากาศในโลกใหม่ที่ต้องเผชิญ (Adapting to climate change : New World-New Risk-New Practice)" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2568 ณ สำนักงาน คปภ. สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

คปภ. เผยมุมมองผู้เชี่ยวชาญ ประเทศไทยต้องปรับตัวเร่งด่วน รับมือ Climate change ภาคประกันภัย…มีส่วนสำคัญสำหรับการเปลี่ยนแปลง

ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ได้กล่าวว่าปัจจุบันมี 3 การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ๆ ในโลก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดดซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้นำใหม่ของสหรัฐอเมริกา และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยผลการวิจัยพบว่า ในอีก 20 ปี หลังจากนี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านภัยพิบัติ เต็มไปด้วย 4 ภัยใหญ่ คือ 1) ทะเลสูง แผ่นดินต่ำ 2) น้ำท่วมแรง 3) แห้งแล้งจัด และ 4) วิบัติคลื่นร้อน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างแน่นอน และเศรษฐกิจทั่วโลกโดยรวมจะ เติบโตช้าลงจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยจะน่าห่วงที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงสุดในแง่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ต้องมีการปรับตัว 2 เรื่องใหญ่คือ 1) การปรับลดคาร์บอนลดโลกร้อน (Mitigation) และ 2) การปรับตัวอยู่กับโลกที่ร้อนขึ้น (Adaptation) ซึ่งเรื่องนี้ TDRI ได้เสนอแนวทางเรื่องการนำเงินที่ได้จากการจัดเก็บภาษีมาจัดตั้งกองทุน Green Transition & Adaptation Fund (GTAF) เพื่อช่วยเหลือในการทำ Mitigation (ลดลงตามเวลา) และช่วยเหลือในการทำ Adaptation (เพิ่มตามเวลา) และช่วยการปรับตัวของกลุ่มเปราะบาง แต่อย่างไรก็ตามมี 4 เรื่องเร่งด่วน ที่ควรเร่งทำคือ 1) สร้างงานใหม่ทดแทนงานกลางแจ้ง 2) ปรับปรุงเมืองลดความเสี่ยง 3) พัฒนาระบบจัดการภัยพิบัติที่ลดความเสี่ยง และ 4) เตรียมเงินทุนเพื่อการปรับตัวซึ่งภาคอุตสาหกรรมประกันภัยจะมีส่วนอย่างยิ่งในการช่วยให้ประเทศไทย เปลี่ยนผ่านไปสู่โลกใหม่ที่เต็มไปด้วยภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ ในเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเพื่อถอดบทเรียนและแชร์ประสบการณ์ในเรื่องดังกล่าว ผู้ร่วมเสวนาได้ให้มุมมองสำคัญ ดังนี้นางสาววสุมดี วสีนนท์ รองเลขาธิการ ด้านกำกับคนกลางและประกันภัยภูมิภาค สำนักงาน คปภ. กล่าวว่า สำนักงาน คปภ. ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ จึงได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการด้านการประกันภัยเพื่อบริหารจัดการและช่วยเหลือประชาชนในสถานการณ์ภัยพิบัติ (Insurance Center for Disaster Management and Co-operation) หรือศูนย์ ICD นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับกระบวนการบริหารความเสี่ยงที่สอดคล้องกับสมาคมผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยนานาชาติ (International Association of Insurance Supervisor) หรือ IAIS ซึ่งปัจจุบันให้ความสำคัญกับความเสี่ยงทางโลกไซเบอร์ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และบทบาทของธุรกิจประกันภัยในการตอบสนองต่อสังคม ตามลำดับ โดยในแง่ของ Climate change ได้ยกระดับการป้องกันด้วยระบบประกันภัย ซึ่งสิ่งที่สำนักงาน คปภ. ทำอยู่ก็คือ การทำให้กฎระเบียบต่าง ๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้น มีการประยุกต์ใช้แนวคิดในเรื่องของการบริหารจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการทำงาน และมุ่งเน้นเรื่องการใช้ DATA ซึ่งปัจจุบันมีการเก็บข้อมูลของกรมธรรม์ประกันภัยเพื่อนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้รองรับความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติอย่างครอบคลุมมากขึ้น และมีมาตรการส่งเสริมบทบาทธุรกิจประกันภัยที่สร้างความตระหนักรู้ต่อสาธารณชนเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการช่วยลดความเสี่ยงภัยที่จะเกิดขึ้นกับ ประเทศชาติ ธุรกิจ และกับโลก

ด้าน ดร.ชาริกา ชาญนันทพิพัฒน์ นักวิชาการ ด้านการดำเนินธุรกิจและการพัฒนาที่ยั่งยืนจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นความเสี่ยงที่ค่อนข้างใหญ่ คือ การปรับลดคาร์บอนลดโลกร้อน (Mitigation) และ การปรับตัวอยู่กับโลกที่ร้อนขึ้น (Adaptation) เพื่อให้อยู่ได้และอยู่ดี จะเห็นว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมีการตั้งเป้าการลด ก๊าซเรือนกระจก โดยในส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องของการทำความดีเพื่อสังคม (CSR) แต่เป็นเรื่องของการบริหารความเสี่ยงและโอกาส ซึ่งในเรื่องของประกันภัยจะเห็นว่าบริษัทประกันภัยเริ่มมีการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องของ Climate risk รวมถึง Transition risk ดังนั้น จึงเป็นโอกาส ที่ผู้ประกอบการภาคธุรกิจประกันภัยจะกลับไปมองเรื่องของความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัยให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากยิ่งขึ้น

ด้าน นายณัฐพิสิษฐ์ ครุฑครองชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงไทย - แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ให้ข้อมูลว่า กลุ่มบริษัทแอกซ่า กรุ๊ป เริ่มตระหนักรู้เกี่ยวกับ Climate change ตั้งแต่ปี 2015 โดยเริ่มจากลดการลงทุนในอุตสาหกรรมถ่านหินที่ทำให้เกิดโลกร้อน ซึ่งทุกปีได้มีการสำรวจความตระหนักรู้เพื่อจัดอันดับความเสี่ยง และล่าสุดปี 2024 ได้สำรวจผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 22,000 คนทั่วโลก สรุปได้ว่า อันดับ 3 คือ Cyber Security หรือความปลอดภัยบนโลกไซเบอร์ อันดับ 2 สภาวะสงคราม และอันดับ 1 คือ Climate change การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งมีผลกระทบกับภาคอุตสาหกรรมประกันภัยที่ทำให้เกิดความสูญเสียในหลายด้านที่เราต้องประเมินความเสี่ยงและรับความเสี่ยงภัยที่เกิดขึ้น ดังนั้น บทบาทของบริษัทประกันภัย มี 3 ส่วน ด้วยกัน คือ 1) บริษัทประกันภัยรับเงินจากผู้เอาประกันภัยมาแล้วต้องนำเงินไปลงทุนที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงเหล่านี้ เช่น การลงทุนที่หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิด Climate change 2) การออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ตอบโจทย์ผู้เอาประกันภัย และสามารถลดความเสี่ยงภัยได้ และ 3) คำนึงถึง กลุ่มเปราะบาง โดยการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อกลุ่มเปราะบางให้สามารถเข้าถึงการทำประกันภัยได้ นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทแอกซ่า มีเป้าหมายชัดเจนในการลดคาร์บอน และมีนโยบายไม่ลงทุนกับกลุ่มอุตสาหกรรมถ่านหินและน้ำมันดิบ ที่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอยากสนับสนุนให้หน่วยงานภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมมือกันหันมา ให้ความสำคัญกับการลดคาร์บอนที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ด้าน นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจประกันภัยเผชิญความท้าทายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เพิ่มขึ้น จากการวิจัยล่าสุดในปี 2024 ธุรกิจประกันภัยทั่วโลก จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับภัยพิบัติประมาณ 140-150 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโตกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี ถึง 27% และเป็นปีที่ 5 ติดต่อกันที่ยอดจ่ายสินไหมเกิน 100 พันล้านดอลลาร์ สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วง 2 ปีที่ผ่านมายังไม่มีแผ่นดินไหวขนาดใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้น หากเกิดขึ้นในอนาคตตัวเลขสินไหมก็อาจเพิ่มขึ้นมหาศาล ในประเทศไทยเองภัยธรรมชาติเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงมากขึ้น บริษัทประกันภัยจึงต้องมีปรับตัว ใน 2 ด้าน คือ การออกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมโดยใช้เทคโนโลยีเพื่อแยกพื้นที่เสี่ยงภัยอย่างแม่นยำ และร่วมมือกับเจ้าของพื้นที่ในการทำมาตรการ ลดความเสี่ยง และการรักษาสถานะทางการเงินให้มั่นคงเพียงพอที่จะจ่ายค่าสินไหมเมื่อเกิดเหตุ แต่อย่างไรก็ตาม ก็มองว่าเป็นโอกาสของธุรกิจประกันภัยด้วยเช่นกัน เนื่องจากปัจจุบันเพียง 40% ของความเสียหายจากภัยพิบัติทั่วโลกที่มีการทำประกันภัย โดยหากสามารถส่งเสริมให้มีการทำประกันภัยแพร่หลายมากขึ้น จะช่วยกระจายความเสี่ยงและทำให้เบี้ยประกันภัยไม่แพงเกินไปสำหรับพื้นที่เสี่ยงภัย


ข่าวคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย+สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยวันนี้

คปภ. ผนึกกำลังจังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย ทีดีอาร์ไอ จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่งถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย"

คปภ. ผนึกกำลังจังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย ทีดีอาร์ไอ จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่งถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย" Kick off พื้นที่ต้นแบบความปลอดภัยทางถนน รณรงค์ พ.ร.บ. ปี 2568 พร้อมจัดเวทีเสวนาถอดรหัส ถนน 304 เสนอบังคับใช้ กม. ออกมาตรการลดเสี่ยง สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) จังหวัดปราจีนบุรี ภาคธุรกิจประกันภัย และสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) จัดงาน "ปราจีน ยืนหนึ่ง ถนนปลอดภัย อุ่นใจด้วยการประกันภัย" ภายใต้

บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดย... มิตรแท้ประกันภัย ร่วมฟื้นฟูต้นน้ำน่าน สร้างผืนป่าอย่างยั่งยืน — บริษัท มิตรแท้ประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยคุณภูดิท พุ่มสุวรรณ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส...

สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประก... สำนักงาน คปภ. ลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือผู้เอาประกันภัย กรณีไฟไหม้โรงงานที่เขตลาดกระบัง — สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนัก...

ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ ผู้อำนวยการบริหาร สม... สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมสร้างระบบนิเวศยั่งยืน ผ่านโครงการปลูกป่าฟื้นฟูต้นน้ำน่าน — ดร.พงษ์ภาณุ ดำรงศิริ ผู้อำนวยการบริหาร สมาคมประกันวินาศภัยไทย ร่วมกิ...

เดินหน้าส่งเสริมการให้ข้อมูลการเงิน การลง... 3 หน่วยงานกำกับดูแล ร่วมจัดทำโครงการ Responsible Voices สำหรับ Finfluencer — เดินหน้าส่งเสริมการให้ข้อมูลการเงิน การลงทุน และประกันภัย อย่างมีความรับผิดชอ...