ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท “บ. ราชธานีลิสซิ่ง” ที่ระดับ “BBB+/Stable”

23 May 2013

กรุงเทพฯ--23 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาทของ บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ในขณะเดียวกันยังคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “BBB+” ด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มยัง “Stable” หรือ “คงที่” ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ชำระคืนเงินกู้เดิมและใช้ในการขยายสินเชื่อ อันดับเครดิตสะท้อนถึงคณะผู้บริหารของบริษัทที่มีประสบการณ์สูงในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์มือสอง รวมถึงการพัฒนากระบวนการขั้นตอนการปฏิบัติงานและระบบบริหารความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงผลประกอบการทางการเงินที่ปรับตัวดีขึ้นและสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งขึ้นหลังจากได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นใหญ่คือ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) อันดับเครดิตของบริษัทยังได้รับการยกระดับเพิ่มขึ้นจากสถานะอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทเนื่องจากปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจการเงินของธนาคารธนชาตภายใต้กฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตถูกลดทอนจากประเด็นกังวลเกี่ยวกับการแข่งขันที่รุนแรงและคุณภาพสินเชื่อของบริษัทจากการที่ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นให้สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าประสบการณ์ของผู้บริหารตลอดจนประสิทธิภาพการปฏิบัติงานที่ปรับตัวดีขึ้นและการสนับสนุนจากธนาคารแม่จะช่วยให้บริษัทสามารถขยายสินเชื่อในตลาดที่บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมและรักษาคุณภาพสินทรัพย์ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ อีกทั้งการสนับสนุนจากธนาคารแม่ยังคาดว่าจะมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือในด้านเงินทุนสำหรับการขยายธุรกิจ

บริษัทมีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาตตั้งแต่ปี 2553 หลังจากการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กับธนาคารธนชาตพร้อมทั้งมีการปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท ปัจจุบันธนาคารธนชาตได้จัดให้บริษัทเป็นหนึ่งในบริษัทลูกที่อยู่ในกลุ่มควบรวมแบบ Full Consolidation ตามกฎเกณฑ์การกำกับแบบรวมกลุ่มของ ธปท. แม้ว่าธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจสินเชื่อรถยนต์จะทับซ้อนกับธุรกิจของธนาคารธนชาต ทว่าบริษัทและธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์และตลาดเป้าหมายที่ต่างกัน ธนาคารธนชาตมีความตั้งใจที่จะให้บริษัทเน้นกลุ่มตลาดที่ธนาคารธนชาตยังเข้าไม่ถึง ธนาคารธนชาตได้ให้ความช่วยเหลือแก่บริษัทในการพัฒนากระบวนการอนุมัติสินเชื่อและการจัดเก็บหนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน โดยมีการนำนโยบายการบริหารความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ มาใช้ในบริษัทเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานของธนาคารธนชาต บริษัทยังได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากธนาคารแม่และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทยผ่านการกำกับดูแลจากธนาคารแม่ด้วย

บริษัทหันไปเน้นการให้บริการสินเชื่อรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2549 โดยสินเชื่อในกลุ่มนี้คิดเป็น 68% ของสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์คงค้างของบริษัท ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 บริษัทพยายามชดเชยความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น การเรียกเก็บเงินดาวน์ที่เพิ่มขึ้น และการให้ชำระเช็คลงวันที่ล่วงหน้า สินเชื่อสำหรับรถบรรทุกเพื่อการพาณิชย์จัดเป็นสินเชื่อที่มีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ ทริสเรทติ้งยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของสินเชื่อประเภทนี้แม้ว่าบริษัทจะมีความเชี่ยวชาญในสินเชื่อรถยนต์มือสองสำหรับรถยนต์นั่งและรถกระบะก็ตาม

หลังจากมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารนครหลวงไทยในปี 2549 สถานะทางการตลาดของบริษัทก็ปรับตัวดีขึ้น บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและการกู้ยืมจากธนาคารนครหลวงไทยเพื่อใช้เป็นเงินทุนในการขยายสินเชื่อของบริษัท สินเชื่อคงค้างของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก โดยปรับเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ย 53% ในช่วงปี 2549-2553 สินเชื่อรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,775 ล้านบาทในปี 2549 เป็น 10,404 ล้านบาทในปี 2553 สินเชื่อยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2554 โดยปรับเพิ่มเป็น 12,483 ล้านบาท บริษัทมีความคล่องตัวทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทลูกของธนาคารธนชาต บริษัทได้รับการสนับสนุนทั้งในด้านธุรกิจและในด้านการเงินเพิ่มมากขึ้นซึ่งช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนความพยายามในการขยายธุรกิจของบริษัท บริษัทสามารถยกระดับสถานะทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อ โดย ณ สิ้นปี 2555 สินเชื่อรวมของบริษัทอยู่ในระดับ 19,218 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 54% จากปี 2554 สินเชื่อรวมยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 21,788 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556

อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมของบริษัทปรับลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2553 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงจาก 4.9% ในปี 2551 เป็น 2.8% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 อัตราส่วนคุณภาพสินเชื่อที่ปรับตัวดีขึ้นส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายฐานสินเชื่ออย่างมากดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกันกับผู้ให้บริการสินเชื่อรถยนต์รายอื่น ๆ บริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2554 ทำให้อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวมปรับตัวสูงขึ้นเป็น 3.7% ณ สิ้นปี 2554 อัตราส่วนดังกล่าวปรับตัวดีขึ้นมากโดยลดลงเหลือ 2.3% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 และลดลงต่อเนื่องเป็น 2.2% ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2556

บริษัทรายงานผลกำไรสุทธิ 204 ล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าจาก 109 ล้านบาทในปี 2552 กำไรสุทธิรักษาระดับอยู่ที่ 205 ล้านบาทในปี 2554 เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองที่สูงขึ้นจากผลกระทบของอุทกภัย บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองในปี 2554 จำนวน 126 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้านบาทในปี 2553 เพื่อใช้เป็นสำรองสำหรับหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น กำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นมากในปี 2555 สอดคล้องกับการขยายตัวขึ้นมากของฐานสินเชื่อ โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 489 ล้านบาทในปี 2555 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 138.9% จากกำไรสุทธิในปี 2554 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% ในปี 2555 จาก 1.9% ในปี 2554 การปรับตัวดีขึ้นดังกล่าวเป็นผลจากค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้เสียที่ลดลง รวมถึงการประหยัดจากขนาดในต้นทุนการดำเนินงาน และการมีแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนถูกลง ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองสำหรับหนี้เสียลดลงเป็น 81 ล้านบาทในปี 2555 จาก 126 ล้านบาทในปี 2554 ประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลจากการประหยัดจากขนาดในสินเชื่อที่เติบโตขึ้นและจากการสนับสนุนของธนาคารธนชาตอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้ลดลงเป็น 19.8% ในปี 2553 จากระดับ 26.7% ในปี 2552 อัตราส่วนดังกล่าวลดลงต่อไปอีกเป็น 13.2% ในปี 2554 และรักษาอยู่ที่ระดับ 13.3% ในปี 2555 การแข่งที่รุนแรงเป็นอุปสรรคต่อผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแหล่งเงินทุนที่มั่นคงและต้นทุนที่ลดต่ำลงจากธนาคารธนชาต นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถเข้าถึงแหล่งเงินที่มีต้นทุนที่ถูกลงจากตลาดทุนทั้งจากการเสนอขายหุ้นกู้และตั๋วแลกเงิน แหล่งเงินที่มีต้นทุนลดลงช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยรับและดอกเบี้ยจ่ายไปที่ระดับ 3.5% ในปี 2555 จาก 2.9% ในปี 2554

ฐานทุนของบริษัททรุดลงจากการระดมทุนเชิงรุกโดยการกู้ยืมเพื่อขยายสินเชื่อแม้ว่าผลประกอบการจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ปี 2552 และมีการเพิ่มทุนจากการใช้สิทธิตามใบรับรองสิทธิในการซื้อหุ้นของธนาคารนครหลวงไทยในปลายปี 2552 แล้วก็ตาม อัตราส่วนของส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมลดลงจาก 31.4% ในปี 2550 เป็น 13.4% ในปี 2553 และ 12.2% ณ สิ้นเดือนกันยายน 2554 การปรับโครงสร้างทุนในเดือนพฤศจิกายน 2554 ที่ผ่านมาทำให้ฐานทุนของบริษัทแข็งแกร่งขึ้นเป็น 17.2% ณ สิ้นปี 2554 แต่ปรับลดลงเป็น 13.0% ณ สิ้นปี 2555 ปัจจุบันบริษัทมีความยืดหยุ่นทางการเงินมากขึ้นหลังจากมีสถานะเป็นบริษัทในเครือของธนาคารหลวงไทยซึ่งปัจจุบันคือธนาคารธนชาต ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2554 ประมาณ 75% ของเงินกู้ยืมรวมของบริษัทเป็นการกู้ยืมจากธนาคารแม่ บริษัทได้ชำระเงินกู้ยืมส่วนใหญ่ทั้งจากธนาคารธนชาตและสถาบันการเงินอื่น ๆ โดยใช้เงินจากหุ้นกู้ที่เสนอขายไปในปี 2555 ณ สิ้นปี 2555 บริษัทไม่มีเงินกู้ยืมจากธนาคารธนชาต โดยแหล่งเงินทุนจากธนาคารธนชาตจะเก็บไว้สำหรับกรณีมีความจำเป็นด้านสภาพคล่อง

บริษัท ราชธานีลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (THANI)

อันดับเครดิตองค์กร: BBB+

อันดับเครดิตตราสารหนี้:

THANI144A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 BBB+

THANI154A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 BBB+

THANI164A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+

THANI16NA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 3,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2559 BBB+

หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2560 BBB+

แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable-กภ-