สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
รัฐบาลได้ประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภา เมื่อเช้าวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อันมีผลทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดสิ้นสุดสมาชิกภาพ ซึ่งก่อนหน้านั้น 1 วัน สส.ซีกฝ่ายค้านได้ประกาศลาออก ทำให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นรัฐบาลรักษาการไปจนกว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วง วันที่ 22 มกราคม - 6 กุมภาพันธ์ 2557 ท่าทีของภาคเอกชนส่วนใหญ่เห็นว่า การยุบสภาน่าจะลดความกดดันทางการเมืองในช่วงที่อยู่ “ปากเหว” เนื่องจากการชุมนุมในวันที่ 9 ธันวาคม 56 มีประชาชนออกมาชุมนุมเป็นจำนวนมาก การเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ก็น่าจะเป็นการลดความกดดัน และลดความรุนแรงได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยู่กับท่าทีของ กปปส.ซึ่งดูเหมือนว่ายังต้องการกดดันให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ลาออก เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในรูปแบบสภาประชาชน ซึ่งก็ยังไม่รู้แนวทางว่าสามารถดำเนินการได้อย่างไร ขณะเดียวกัน ก็คงต้องติดตามท่าทีของรัฐบาลรักษาการว่าจะดำเนินการตามที่ กปปส.ต้องการหรือไม่ รวมถึงการกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งจนถึงขณะนี้ภาพของการเมืองไทยจะเดินไปอย่างไร คงเป็นเรื่องยากที่จะคาดคะเน แต่ที่แน่คือต้องเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในอีกไม่เกิน 60 วันข้างหน้า
ด้านผลกระทบทางเศรษฐกิจ การยุบสภาในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยลดความตึงเครียดของภาคเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็รู้ทิศทางของการเมืองได้ในระดับหนึ่ง ในช่วงรอการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจจะสามารถขับเคลื่อนได้เอง เนื่องจากเศรษฐกิจจริงอยู่ที่ภาคเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน รัฐบาลเป็นเพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น โดยผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงรัฐบาลรักษาการจนถึงการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น
1. ด้านการส่งออก ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้อีกไม่ถึง 1 เดือน คงทำอะไรไม่ได้มาก ตัวเลขการส่งออกคงขยายตัวในเชิงดอลลาร์ได้ไม่เกินร้อยละ 0-0.25 แต่ในเชิงเงินบาทอาจติดลบร้อยละ 3.5-3.8 ขณะที่ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า ทิศทางของเศรษฐกิจโลกเริ่มมีสัญญาณทางบวก จากเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาในเดือน พ.ย. ขยายตัวได้ร้อยละ 2.5 สหภาพยุโรปร้อยละ 1.2 และญี่ปุ่นร้อยละ 1.8 แต่ผู้นำเข้ายังมีปัญหาด้านสถาบันการเงิน ทำให้ออเดอร์ในช่วงต้นปียังคงไม่มากนัก การส่งออกในช่วง ไตรมาสแรกอาจทรงตัวด้วยตัวเลขการส่งออกประมาณเดือนละ 20,500-21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งก็ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินว่าการส่งออกในปี 2557 จะขยายตัวได้ร้อยละ 7.0 ตามที่ สศช.ได้ประเมินไว้หรือไม่
2. การลงทุน ของภาคเอกชนในช่วงนี้จนถึงไตรมาสแรกของปีหน้า คงจะรอดูท่าทีของการเมือง โดยเฉพาะรัฐบาลใหม่ โดยที่ผ่านมา การลงทุนภาคเอกชนติดลบมาโดยตลอด สาเหตุทั้งจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและปัญหาการเมืองในประเทศ โดยในไตรมาส 3 การลงทุนติดลบถึงร้อยละ 6.5 ขณะที่การลงทุนภาครัฐเองก็ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย สศช.คาดว่าการลงทุนในปีนี้ทั้งปี คงขยายตัวได้ไม่เกินร้อยละ 0.9 ส่วนปีหน้า จะขยายตัวได้ร้อยละ 7.1 ตามเป้าหมายได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับบรรยากาศทางการเมืองของไทยหลังการเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร
3. การบริโภคภายใน ในช่วงสิ้นปีซึ่งเป็นเทศกาลปีใหม่ การบริโภคภายในอาจไม่ขยายตัวมากนัก เพราะสะท้อนจากตัวเลขเดือน พ.ย. ซึ่งขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.5 ต่ำสุดในรอบ 22 เดือน โดย สศช.คาดการณ์ว่าในปี 2556 การบริโภคจะสามารถขยายตัวได้เพียงร้อยละ 1.6 จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 6.5 อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. 2557 การบริโภคภายในน่าจะได้อานิสงส์จากค่าใช้จ่ายในการเตรียมตัวเข้าสู่การเลือกตั้ง ทั้งจากค่าใช้จ่ายด้านการหาเสียง รวมทั้งเงินนอกระบบอีกหลายหมื่นล้าน ที่จะเข้าถึงมือรากหญ้า ซึ่งจะช่วงขับเคลื่อนการบริโภคภายในได้บ้าง แต่ปัจจัยสำคัญจะต้องติดตามการใช้จ่ายของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นปัญหา รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ในช่วง 2-3 เดือนจากนี้ไปคงจะไม่มี
4. การใช้จ่ายของรัฐบาล เครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจปีหน้า จะมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ จำนวน 2.4 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.2556 ที่มีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาล สามารถเบิกจ่ายได้เพียง 470,568 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 18.87 ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ร้อยละ 24.6 ของงบประมาณรวม และยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 15.2 แสดงว่า การเคลื่อนไหวทางการเมืองมีผลต่อการเบิกจ่ายของรัฐบาล
ข้อวิตกของภาคเอกชนในช่วงสุญญากาศของรัฐบาลรักษาการ จะทำให้การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานภาครัฐมีการล่าช้า โดยเฉพาะเงินค้างของเกษตรกรจากโครงการจำนำข้าว และโครงการประชานิยมต่างๆ เนื่องจากรอดูทางทีทางการเมือง อีกทั้ง รัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละกระทรวงคงให้ความสำคัญต่อสนามเลือกตั้ง ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมการเบิกจ่ายของรัฐให้ต่ำกว่าเป้าหมาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อการบริโภคภายใน นอกจากนี้ หลังการเลือกตั้ง กว่าจะมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็คงใช้เวลา โดยเฉพาะหากกระแสการเมืองทำให้เสียงของพรรคการเมืองขนาดใหญ่ก้ำกึ่งกัน ก็จะยิ่งทำให้การจัดตั้งรัฐบาลก็ต้องใช้เวลามากขึ้น และไม่ว่าจะซีกพรรคการเมืองฝ่ายใดเข้ามาเป็นรัฐบาล การใช้งบประมาณก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้ง หากฝ่ายซีกตรงข้ามเข้ามาเป็นรัฐบาล คงต้องรื้อโครงการต่างๆ ใหม่หมด นอกจากนี้ โครงการ พ.ร.ก.น้ำ 3 แสนล้าน และหรือ พ.ร.บ.โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ซึ่งมีผลอยู่ในจีดีพีปี 2557 (รวมกัน) ร้อยละ 0.5 ก็อาจขับเคลื่อนไม่ได้ ทั้งหมดนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของปี 2557
5. การขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผลกระทบจากการเมืองในประเทศในช่วงที่ผ่านมา เมื่อบวกกับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ทำให้เครื่องมือทางเศรษฐกิจไม่สามารถขับเคลื่อนได้ โดยเฉพาะจากภาคส่งออกและงบกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลซึ่งขาดความเป็นรูปธรรมที่จะมีเม็ดเงินจริงเข้าไปสู่ระบบ อีกทั้ง การใช้จ่ายของรัฐบาลในช่วงเดือน ต.ค.- ธ.ค. 2556 จะต่ำกว่าเป้าหมายอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2557 อาจได้ต่ำกว่าร้อยละ 3 แต่ภาคเอกชนคาดการณ์ว่าอาจจะอยู่ที่ร้อยละ 2.8
สำหรับปี 2557 ในช่วงไตรมาสแรกซึ่งเป็นช่วงสุญญากาศระหว่างการรอเลือกตั้ง และการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจ และมาตรการต่างๆ รวมถึงการใช้จ่ายของรัฐบาลเป็นสุญญากาศไปด้วย จะส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกต่อไปจนถึงไตรมาส 2 ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจของ สศช.ในปี 2557 ซึ่งประมาณการว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 4-5 อาจขยายตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล
ไม่เกี่ยวข้องกับองค์กรใดๆ
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถค้นหาได้ที่ www.tanitsorat.com
ปตท.สผ. คว้ารางวัลสูงสุดจากเวที Climate Action Awards 2025 สะท้อนความโดดเด่นในการดำเนินงานด้าน Decarbonization
SAPPE ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ผนึกกำลัง TIPMSE และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในงานรวมพลังขับเคลื่อน EPR เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นวัตถุดิบ
"นิปปอนเพนต์" แบรนด์สีหนึ่งเดียวที่เหนือชั้นกว่า คว้ารางวัลเชิดชูเกียรติสูงสุด "Climate Action Excellence" โดย ส.อ.ท. พิสูจน์ความตั้งใจ การันตีองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนในทุกมิติ
OR ได้รับรางวัล Climate Action Excellence ตอกย้ำการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคตยั่งยืน
ส.อ.ท. จับมือ CBS-กสิกร-บพค. ยกระดับ SMEs ไทยสู่ SMART SMEs ด้วย Digital & AI
กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สอท. พร้อมดึงเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกรีไซเคิล สนับสนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ S-Curve หนุนทุกภาคส่วนนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบครบวงจร
เบเยอร์คว้ารางวัล Climate Action Award ตอกย้ำผู้นำสีรักษ์โลกอันดับหนึ่ง มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
TCMA คว้ารางวัล 'Outstanding Contribution' Climate Action Award 2025 ตอกย้ำบทบาทองค์กรศักยภาพ นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ขับเคลื่อนลดคาร์บอน
ส.อ.ท. จัด Climate Change Forum 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่เป้า Net Zero บางจากฯ คว้ารางวัลสูงสุด Climate Change Award องค์กรต้นแบบด้าน Climate Action