สืบเนื่องจากวิกฤตขยะล้นเมืองซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศไทย เมื่อเร็ว ๆ นี้ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด จึงรวมพลังกับองค์กรพันธมิตรอีก 4 องค์กร อันได้แก่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และชมรมนักข่าวสิ่งแวดล้อม จัดเสวนาในหัวข้อ “วิกฤตขยะของประเทศไทย: การสร้างพันธมิตรสู่การแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน” เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวทางในการแก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างยั่งยืนต่อไป
นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวในการเสวนาว่า ปัญหาวิกฤตการจัดการขยะเป็นปัญหาสำคัญที่รัฐบาลซึ่งนำโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ความสนใจและกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยจากตัวเลขในปี 2557 พบว่าปัจจุบันประเทศไทยมีขยะเกิดขึ้น 26.8 ล้านตันต่อปี และในจำนวนนี้มีขยะพิษอยู่ถึง 5 แสนตัน แต่ปริมาณขยะที่สามารถเข้าสู่กระบวนการกำจัดอย่างถูกต้องนั้นค่อนข้างน้อยจึงส่งผลให้เกิดขยะตกค้างสะสม โดยในปี 2556 มีขยะตกค้างถึง 20 ล้านตัน
ทั้งนี้ ในจำนวนขยะทั้งหมดนั้นขยะที่ก่อให้เกิดปัญหามากที่สุดคือขยะพิษ เช่น ขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งในปัจจุบันกฎหมายเกี่ยวกับการดูแลและกำจัดขยะเหล่านี้ยังล้าหลัง ดังนั้นกรมควบคุมมลพิษจึงเตรียมที่จะเสนอ คสช.ให้มีการแก้ไขกฎหมาย 12 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และขยะจากเครื่องใช้ไฟฟ้า
“การแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์นั้นมีหลายประเด็นด้วยกัน เช่น ผู้ประกอบการอาจจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการรับคืนขยะอิเล็กทรอนิกส์ มีการนำมาตรการทางภาษีมาใช้ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ไม่เกิน 4 เดือน โดยเร็ว ๆ นี้ทางกรมควบคุมมลพิษจะเชิญผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมหารือเพื่อระดมความเห็น ก่อนที่จะเสนอต่อ คสช.ต่อไป” อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าว
ด้าน ดร.วิวัฒน์ กฤษฎาสิมะ รองประธานกรรมการซัพพลายเชน บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ในฐานะตัวแทนภาคเอกชนซึ่งเป็นแกนหลักในการจัดทำโครงการแก้วิกฤตขยะของประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทยูนิลีเวอร์ยินดีที่จะเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะเพื่อเป็นประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมโดยรวม ซึ่งที่ผ่านมายูนิลีเวอร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในการลดปริมาณขยะที่เกิดจากกระบวนการผลิตในโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมทั้งสองแห่ง คือนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ กระทั่งปัจจุบันยูนิลีเวอร์สามารถลดขยะที่ต้องฝังกลบซึ่งมีปริมาณถึง 23,000 ตันต่อปี ให้เป็นศูนย์ โดยยูนิลีเวอร์ได้มีการประสานกับผู้ประกอบการรายอื่นเพื่อนำขยะที่สามารถรีไซเคิลได้ไปใช้ประโยชน์ต่อ นำกากตะกอนจากบ่อบำบัดน้ำเสียไปทำปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลหรือนำไปทำปุ๋ยได้ก็ส่งไปให้ผู้ประกอบการรายอื่นนำไปทำเป็นเชื้อเพลิง
ขณะที่ นายสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ในส่วนของสภาอุตสาหกรรมฯนั้นได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการลดปริมาณขยะในชุมชน ทางสภาอุตสาหกรรมฯจึงได้จัดทำโครงการ ‘ร้านศูนย์บาท’ ซึ่งเป็นร้านค้าที่ประชาชนไม่ต้องจ่ายเงินซื้อสินค้า แต่สามารถนำขยะที่รีไซเคิลได้มาแลกเป็นสินค้า โดยขณะนี้มีร้านศูนย์บาทอยู่ 12 แห่งทั่วประเทศ และทางสภาอุตสหกรรมฯตั้งเป้าว่าจะขยายเป็น 120 สาขาทั่วประเทศ
ทั้งนี้ นอกจากมาตรการของกรมควบคุมมลพิษดังกล่าวข้างต้นแล้ว เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรมควบคุมมลพิษยังได้เสนอโรดแมพการจัดการขยะของประเทศ 9 ข้อไปยังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซึ่ง คสช.ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบแล้วได้แก่ 1.ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดเป็นผู้บริหารแผนการจัดการขยะในภาพรวม 2.ต้องมีการสร้างวินัยในการจัดการขยะอย่างยั่งยืน โดยรณรงค์ให้ประชาชนคัดแยกขยะก่อนทิ้ง 3.ไม่ให้มีการนำขยะมาทิ้งกองรวมกันอีกต่อไป 4.ในกระบวนการกำจัดขยะจะต้องมีการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้5.มีแผนการปรับปรุงฟื้นฟูบ่อขยะ พร้อมทั้งดำเนินการปิดบ่อขยะที่ไม่ได้มาตรฐาน เนื่องจากปัจจุบันมีบ่อขยะที่ไม่ได้มาตรฐานถึง 80% จากจำนวนขยะทั้งหมดซึ่งมีอยู่ 2,500 แห่งทั่วประเทศ โดยจะเปลี่ยนเป็นการจัดการแบบรวมศูนย์ ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดจะต้องส่งแผนการจัดการขยะให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาภายใน 6 เดือนนับจากนี้ 6.เปิดให้เอกชนเข้ามาดำเนินการกำจัดขยะ 7.ชุมชนจะต้องสร้างระบบในการจัดการขยะอันตราย 8.มีการแปลงขยะไปเป็นพลังงาน และ 9.ส่งเสริมการจัดการตั้งแต่ต้นทาง โดยภาคการผลิตจะต้องผลิตบรรจุภัณฑ์ที่สร้างขยะให้น้อยลง พร้อมกันนี้กรมควบคุมมลพิษยังได้กำหนดพื้นที่วิกฤตที่ต้องจัดการปัญหาขยะโดยเร่งด่วน 6 จังหวัดด้วยกัน คือ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ลพบุรี นครปฐม ปทุมธานี และสมุทรปราการ
เผยแพร่ในนาม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด โดยบริษัท ซิลเลเบิล จำกัด ต้องการทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อเผยแพร่ข่าว กรุณาติดต่อ คุณอรัญญา ลือประดิษฐ์ โทร. 0 2554 3528 โทรสาร 0 2512 1137
ปตท.สผ. คว้ารางวัลสูงสุดจากเวที Climate Action Awards 2025 สะท้อนความโดดเด่นในการดำเนินงานด้าน Decarbonization
SAPPE ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ผนึกกำลัง TIPMSE และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในงานรวมพลังขับเคลื่อน EPR เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นวัตถุดิบ
"นิปปอนเพนต์" แบรนด์สีหนึ่งเดียวที่เหนือชั้นกว่า คว้ารางวัลเชิดชูเกียรติสูงสุด "Climate Action Excellence" โดย ส.อ.ท. พิสูจน์ความตั้งใจ การันตีองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนในทุกมิติ
OR ได้รับรางวัล Climate Action Excellence ตอกย้ำการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคตยั่งยืน
ส.อ.ท. จับมือ CBS-กสิกร-บพค. ยกระดับ SMEs ไทยสู่ SMART SMEs ด้วย Digital & AI
กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สอท. พร้อมดึงเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกรีไซเคิล สนับสนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ S-Curve หนุนทุกภาคส่วนนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบครบวงจร
เบเยอร์คว้ารางวัล Climate Action Award ตอกย้ำผู้นำสีรักษ์โลกอันดับหนึ่ง มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
TCMA คว้ารางวัล 'Outstanding Contribution' Climate Action Award 2025 ตอกย้ำบทบาทองค์กรศักยภาพ นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ขับเคลื่อนลดคาร์บอน
ส.อ.ท. จัด Climate Change Forum 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่เป้า Net Zero บางจากฯ คว้ารางวัลสูงสุด Climate Change Award องค์กรต้นแบบด้าน Climate Action