เอสซีจี เคมิคอลส์ ผู้นำนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ล่าสุดสองบริษัทในกลุ่มฯ ได้แก่ บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด และ บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด ได้รับการรับรองให้เป็นต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) สองโรงงานแรกของประเทศไทย จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสังคมและชุมชน รวมทั้งนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ได้ประกาศเดินหน้ายกระดับอีก 11 โรงงานของบริษัทฯ ในมาบตาพุดให้เป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ภายในปี 2558 ชี้ย้ำภาคอุตสาหกรรมต้องรับฟังปัญหาของชุมชนและสังคม จึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน
นายสมชาย หวังวัฒนาพาณิช ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-ปฏิบัติการ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด เปิดเผยว่า "เอสซีจี เคมิคอลส์ ดำเนินนโยบายด้านการพัฒนาสังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงคุณภาพชีวิตและความปลอดภัยของชุมชนเป็นอันดับแรก ซึ่งในระยะ 4 ปีที่ผ่านมาเราใช้งบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท ในการบริหารจัดการโรงงานให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้นำหลักเกณฑ์โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ซึ่งกำหนดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงอุตสาหกรรม สถาบันการศึกษา ตัวแทนชุมชน ตัวแทนสื่อมวลชน มาใช้กับสองโรงงานในกลุ่มเอสซีจี เคมิคอลส์ ได้แก่ บริษัท ระยองโอเลฟินส์ จำกัด และ บริษัท ไทยโพลิเอททีลีน จำกัด ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวมุ่งพัฒนาด้านประสิทธิภาพเชิงนิเวศในโรงงาน (Eco Efficiency) และการพัฒนาชุมชนที่เน้นให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีต่อชุมชน (Outcome Impact) เพื่อให้โรงงานอุตสาหกรรมประกอบกิจการอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถอยูร่วมกับชุมชน รวมทั้งได้รับความเชื่อมั่น และความไว้วางใจจากชุมชน โดยมีเกณฑ์ 14 ด้าน ครอบคลุม 5 มิติ ได้แก่ กายภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการบริหารจัดการ ซึ่งทั้งสองโรงงานได้ผ่านการประเมินและได้รับการรับรองเป็นต้นแบบโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศสองแห่งแรกของประเทศไทย"
นายสมชาย กล่าวว่า “ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทั้งสองบริษัทในกลุ่มเอสซีจี เคมิคอลส์ ผ่านการประเมินคือ เราถือว่าการดูแลชุมชนอย่างต่อเนื่องเป็นเรื่องสำคัญ และเป็นนโยบายหลัก จนชุมชนมีความพึงพอใจ พนักงานทุกคนมีความมุ่งมั่น มีเป้าหมายร่วมกันที่จะดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อม เราสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง และมีนวัตกรรมที่หลากหลาย ได้แก่ นวัตกรรมเพื่อชุมชนและสังคม นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย สำหรับนวัตกรรมเพื่อชุมชนและสังคม เช่น การพัฒนาอาชีพด้วยการสนับสนุนจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน ตั้งแต่การให้ความรู้ สนับสนุนอุปกรณ์ วัตถุดิบ พัฒนาคุณภาพและรูปลักษณ์ของสินค้า รวมถึงการหาช่องทางการตลาด ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนกว่า 82 ล้านบาท ในระยะเวลา 4 ปี โครงการ One Manager One Community (OMOC) โดยผู้จัดการแต่ละคน จะดูแลชุมชนหนึ่งชุมชน โดยเข้าไปรับฟังปัญหาและร่วมหาทางออกให้กับชุมชน เป็นต้น “
“สำหรับนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย เช่น การนำของเหลือทิ้งกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบระหว่างโรงงาน (Industrial Symbiosis) การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ประโยชน์ โดยเอสซีจี เคมิคอลส์ ได้คิดค้นนวัตกรรมสารเคลือบผิวเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับเตาเผาอุตสาหกรรม ที่ชื่อว่า “อิมิสโปร” (Emisspro) มาใช้ภายในโรงงาน และยังให้บริการกับอุตสาหกรรมภายนอกด้วย นอกจากนี้ ยังมีนวัตกรรมเพื่อช่วยเรื่องการจัดการมลภาวะอากาศ การจัดการน้ำและน้ำเสีย รวมถึงการจัดการกากของเสีย โดยเปลี่ยนของเสียให้มีมูลค่า เช่น ปุ๋ยไส้เดือนดินจากกากตะกอนอินทรีย์ในระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นต้น”
“และเพื่อยกระดับความปลอดภัยของโรงงานให้อยู่ในระดับโลกเราได้คิดค้นนวัตกรรมหุ่นยนต์ตรวจสอบ ที่ชื่อว่า ซี-บอท (Ci-Bot) เพื่อใช้ตรวจสอบสภาพของท่อภายในเตาโรงงานปิโตรเคมีให้มีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงานที่เข้าไปตรวจสอบสภาพท่อ และล่าสุดเอสซีจี เคมิคอลส์ ได้นำระบบบริหารจัดการความปลอดภัยในกระบวนการผลิตจากบริษัทระดับโลกมาประยุกต์ไช้ รวมถึงการสร้างวัฒนธรรมและจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานอีกด้วย”
นายสมชาย กล่าวถึงแผนงานในปีหน้าว่า “ในปีหน้า (2558) บริษัทฯ มีแผนพัฒนา 2 ด้าน ได้แก่ ด้านโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) คาดว่าจะใช้เงินลงทุนเพื่อปรับปรุงยกระดับด้านสิ่งแวดล้อมอีกประมาณ 160 ล้านบาท และพร้อมยกระดับโรงงานอีก 11 แห่งของเอสซีจี เคมิคอลส์ ในมาบตาพุด ให้ได้รับการรับรองเป็นโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) ครบทุกโรงงานภายในปี 2558 สำหรับแผนพัฒนาด้านที่สอง คือ ด้านนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Industrial Estate) เนื่องจากบริษัทฯ มีธุรกิจเกี่ยวกับการบริหารงานด้านนิคมอุตสาหกรรมด้วย คือ นิคมอุตสาหกรรม อาร์ ไอ แอล ซึ่งเราได้นำหลักเกณฑ์นิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมาประยุกต์ใช้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีหน้า เราจะเข้าสู่กระบวนการขอการรับรองนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในระดับ Eco Excellency ต่อไป”
“สำหรับเกณฑ์โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยสภาอุตสาหกรรมฯ ถือว่าเป็นประโยชน์อย่างมาก จะทำให้ชุมชนมีความมั่นใจและสร้างความเชื่อมั่นที่จะอยู่ร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็เป็นเกณฑ์ที่ช่วยสร้างมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม เพราะเป็นเกณฑ์ที่ครอบคลุมครบทุกด้าน ตั้งแต่กระบวนการผลิต และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานของความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายใน และภายนอกองค์กร ตลอดโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ถือเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมและชุมชนอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน และเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายไปสู่การเป็น Eco Industrial Town หรือ เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ตามนโยบายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศได้นั้น จำเป็นต้องมีความร่วมมือจากหลายภาคส่วน โดยในภาคอุตสาหกรรมจะต้องเป็น Eco Factory ส่วนภาคสังคมและชุมชน จะต้องเป็น Eco Community เพื่อให้อุตสาหกรรมอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างเป็นสุขและยั่งยืน" นายสมชายกล่าวทิ้งท้าย
TIJ ผนึก WJP และ กกร. รวมพลังภาครัฐ-เอกชน ยกระดับหลักนิติธรรมไทย สร้างความเชื่อมั่นในระดับสากล
ดัชนีเชื่อมั่น เดือน พ.ย. พุ่ง ส.อ.ท. แนะรัฐเร่งฟื้นฟูน้ำท่วม-หนุนพลังงานสะอาด
TCMA ชูศักยภาพ "Co-Processing" หนุนเป้าหมาย NDC 3.0
กลุ่ม ปตท. และกลุ่มฯ โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม ส.อ.ท. เดินหน้าขับเคลื่อนประเทศไทย ด้วยพลังงานที่ยั่งยืน และคาดการณ์ราคาน้ำมันปี 69
PTG ร่วมกับ กรมการขนส่งทางบก เดินหน้าลดฝุ่น PM2.5 ในโครงการ "ร่วมทาง ร่วมใจ ลดฝุ่น PM2.5" เพื่อยกระดับมาตรการปล่อยมลพิษจากภาคการขนส่ง
กรมทรัพย์สินทางปัญญา จับมือ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ฯ เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SME ในเครือข่าย ติวเข้มการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญา ผ่านการให้คำปรึกษาเชิงลึกแบบตัวต่อตัว
การดำเนินงานและแผนขับเคลื่อน "คณะทำงาน Zero Corruption: กกร. และเพื่อน ไม่ทน"
ดีป้า หารือเครือข่ายพันธมิตรอุตสาหกรรมดิจิทัล รวบรวมความคิดเห็นเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ผนึกกำลังภาคอุตสาหกรรมไทย จัดงาน "JGAB 2026" ผลักดันกรุงเทพฯ สู่ศูนย์กลางการค้าอัญมณีแห่งอาเซียน