เหล็กเส้นเจือโบรอน หรือ อัลลอยด์
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (Prof.Dr.Suchatvee Suwansawat)นายก วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เผยว่า “เหล็กเส้นในโครงสร้างอาคารเปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของร่างกาย ทำหน้าที่เป็นแกนหลักของโครงสร้างทั้งหมดและเป็นจุดเชื่อมต่อให้กับอวัยวะสำคัญอื่นๆของร่างกาย ประเทศไทยนับเป็นผู้นำเข้าเหล็กสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยที่ผ่านมานำเข้าเฉพาะเหล็กแผ่น เหล็กรูปพรรณ และเหล็กลวด แต่ตอนนี้ผู้นำเข้าในประเทศไทยเริ่มมีการเตรียมการนำเข้าสินค้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตจากประเทศจีนมายังประเทศไทยซึ่งอาจมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอและนำเข้ามาในราคาที่ต่ำมากกว่าปกติ เนื่องจากผู้ผลิตเหล็กเส้นในประเทศจีนได้รับการสนับสนุนการส่งออกจากรัฐบาล เพราะส่วนใหญ่เป็นรัฐวิสาหกิจ เช่น การสนับสนุนที่ดิน พลังงาน เงินกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำกว่าราคาตลาด การยกเว้นการจ่ายเงินปันผลและภาษีรายได้นิติบุคคล สร้างความได้เปรียบในเรื่องต้นทุนการผลิต ทำให้ประเทศจีนส่งออกสินค้าเหล็กเส้นไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในอาเซียน ซึ่งนอกจากจะได้รับการอุดหนุนจากทางการจีนเองแล้ว ยังเจตนาใช้ช่องว่างทางกฎหมายส่งออกสินค้า เหล็กเส้นเจือโบรอน หรือ อัลลอยด์ ซึ่งถือเป็นเหล็กพิเศษนั้น เหมาะสำหรับใบมีดอุตสาหกรรม และรถยนต์เพื่อเพิ่มความแข็งแต่ไม่เหนียว เหล็กเส้นที่ใช้ในอุตสาหกรรมก่อสร้างไม่มีความจำเป็นต้องมีการเจืออัลลอยด์แต่อย่างใด ทั้งนี้ผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนานยาง (Nanyang Technological University)แห่งสิงคโปร์ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมศาสตร์ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกก็ได้ยืนยันเช่นเดียวกัน
เหตุใดจึงต้องปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของไทย
เหตุที่ต้องปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กของประเทศไว้ให้พ้นการผูกขาดจากการทุ่มตลาดของเหล็กจีนที่อาจเลี่ยงภาษีและอาจมีปัญหาด้านคุณภาพมาตรฐานที่ต้องการความสม่ำเสมอ เพราะ 1.อุตสาหกรรมเหล็กเส้นเป็นหนึ่งในวัสดุสำคัญที่มีผลกระทบต่อประชาชน และความมั่นคงปลอดภัยของทรัพย์สินประชาชน สังคมและเศรษฐกิจ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของอาคารสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือนของประชาชน และสาธารณูปโภคทั่วประเทศ 2.เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตด้อยคุณภาพจะทำลายคุณภาพมาตรฐานในอุตสาหกรรมก่อสร้าง 3.คุณภาพของการก่อสร้างสาธารณูปโภคและเมกะโปรเจค เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตมีผลต่ออายุการใช้งานและคุณภาพของสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้น 4. การค้าที่ไม่โปร่งใสและเลี่ยงภาษี(Trade Abuse) จะทำความเสียหายต่อประเทศชาติ จากการอาศัยช่องโหว่ในการนำเข้าสินค้าเจือโบรอนเพื่อเปลี่ยนแปลง "พิกัดศุลกากร" จาก "เหล็กเส้น" เป็น "เหล็กเจือธาตุอื่น" ทำให้เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีนำเข้าจาก 5 % เป็น 0 % รัฐต้องสูญเสียรายได้ประมาณ 1,800 ล้านบาทต่อปี 5.ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตของหลากหลายอุตสาหกรรมและการลงทุน หลายอุตสาหกรรมใช้เหล็กเป็นวัตถุดิบ หากปล่อยให้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยอ่อนแอและถูกผูกขาดโดยเหล็กนำเข้า จะสร้างผลกระทบต่อต้นทุนและขีดความสามารถของเศรษฐกิจไทย และจะกลายเป็นภาระของประชาชนในที่สุด
สภาวะตลาดเหล็กของไทย
คุณนิกร สุศิริวัฒนนนท์ (Nikorn Susiriwattananont) รองประธาน สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า “ การบริโภคเหล็กโดยรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 10.8 ล้านตันในปี 2009 มาเป็น 17.7 ล้านตัน ในปี 2013 แต่ปริมาณการผลิตในประเทศกลับลดลงอย่างต่อเนื่อง เมื่อดูการบริโภคเหล็กทรงยาวเพิ่มขึ้นจาก 4.1 ล้านตันในปี 2009 เป็น 5.9 ล้านต้นในปี 2013 นั้นกลับทำให้ประเทศไทยเสียดุลการค้าและพึ่งพาต่างประเทศ โดยเป็นปริมาณนำเข้าจาก 1 ล้านตันในปี 2009 มาเป็นเกือบ 3 ล้านตันในปี 2013 ทั้งๆที่กำลังผลิตในประเทศมีเพียงพอกับความต้องการ ( 7 ล้านตัน ), ในปี 2013 ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการนำเข้าสินค้าเหล็กสุทธิเป็นอันดับ 2 ของโลกและมีแนวโน้มจะเป็นอันดับ 1 เนื่องจากนานาประเทศในอาเซียนรวมทั้งสหรัฐอเมริกาได้ออกมาตรการปกป้องผู้ผลิตในประเทศของตน ตลาดเหล็กเส้นของประเทศไทยมีมูลค่ารวม 70,000 ล้านบาท (แบ่งเป็นตลาดบริโภคในประเทศ 66,000 ล้านบาทและส่งออก 4,000 ล้านบาท) ในอุตสาหกรรมผลิตเหล็กเส้นของไทย มีผู้ประกอบการมากกว่า 50 รายและมีการจ้างงาน 25,000 คน ยังไม่รวมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง หากปล่อยให้เหล็กจีนทุ่มตลาดและผูกขาดตลาดในประเทศไทย จะทำให้ อุตสาหกรรมเหล็กเส้นที่มูลค่าลงทุน 150,000 ล้านบาท ต้องล่มสลายและทำให้อุตสาหกรรมก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรมของประเทศที่เกี่ยวเนื่องที่ใช้เหล็กเส้นเป็นวัตถุดิบไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ และประเทศจะขาดดุลการค้าสูงถึงปีละ 35,000 ล้านบาท ตลอดจนขาดการพัฒนาองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตเหล็กสำหรับบุคลากรไทยอีกด้วย”
มาตรการตอบโต้จากนานาประเทศ
คุณธนะ เรืองศิลาสิงห์ (Thana Ruangsilasingha ) กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การทุ่มตลาดและการอุดหนุนของเหล็กจีนเป็นการค้าที่ไม่โปร่งใส (Trade Abuse )ที่หวังผูกขาดตลาดไว้ในมือ ได้รับการตอบโต้จากนานาประเทศที่ได้ออกมาตรการเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศของตน เช่น อินโดนีเซีย ประกาศข้อบังคับใหม่ ออกมาตรการให้ผู้นำเข้าเหล็กเจือสารโบรอนหรืออัลลอยด์ต้องยื่นใบรับรองตรวจคุณภาพเพื่อขออนุญาตนำเข้า เปิดไต่สวนมาตรการ Safe Guard เหล็กแผ่นรีดร้อนโบรอนจากจีน , เวียดนาม ประกาศเปลี่ยนอัตราภาษีนำเข้าพิกัดเหล็กเจือโบรอน จากร้อยละ 0 เป็น 10 , เกาหลีใต้ ยื่นการเปิดไต่สวนมาตรการ AD (Anti-Dumping) ในอัตราร้อยละ 21.15 กับสินค้า H-BEAM ในพิกัดเหล็กทั่วไปและเหล็กเจืออัลลอยด์จากจีน, ออสเตรเลีย ได้เพิ่มกำหนดในร่างมาตรฐานสินค้า AS / NZS 2679.1.2010 ไม่ให้มีการเจือสารโบรอนในเหล็กเส้น และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน, สหรัฐอเมริกา ได้ขยายขอบข่ายในการบังคับใช้มาตรการสกัดการทุ่มตลาดหรือ AD (Anti-Dumping) กับเหล็กแผ่นเจือสารโบรอน เช่นเดียวกับเหล็กแผ่นทั่วไปจากจีน, ปากีสถาน เสนอให้มีการจัดเก็บภาษีนำเข้าพิกัดเหล็กกล้าเจืออัลลอยด์ ในอัตราร้อยละ 10, มาเลเซีย ออกมาตรการให้ผู้นำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าต้องยื่นใบรับรองตรวจคุณภาพเพื่อขออนุญาตนำเข้าเป็นกรณีไป (Apply for Certificate of Approval)เช่นเดียวกับประเทศอินเดีย
ถึงเวลาปรับ มอก.มาตรฐานเหล็กอุตสาหกรรม
รศ.เอนก ศิริพานิชกร (Assoc.Prof.Anek Siripanichgorn) ประธานกรรมการเหล็กเส้น มอก. และประธานวิศวกรรมโยธา วสท. กล่าวว่า ทางวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ร่วมเป็นคณะกรรมการวิชาการ คณะที่ 9 (กว.9) ของสำนักมาตรฐานอุตสาหกรรมได้พัฒนาและเห็นชอบในการพัฒนาปรับปรุงเกณฑ์ซึ่งถึงเวลาแล้วที่มอก. ด้านเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตของไทยควรยกระดับคุณภาพมาตรฐานเพื่อความมั่นคงปลอดภัยต่ออาคารและการใช้งาน มาตรฐานเหล็กเส้น เช่น การกำหนดกำลังดึงของเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตให้มีช่วงของกำลังดึงตามที่กำหนดในกรอบที่แคบขึ้น ซึ่งต่างจากเดิมที่กำหนดค่าต่ำสุดไว้ เป็นเหตุให้การผลิตเหล็กเส้นในประเทศมีกำลังดึงของเหล็กสูงมาก และสูงกว่าค่าที่กำหนดไว้ซึ่งเป็นค่าที่วิศวกรนำไปออกแบบ ส่งผลให้การประเมินกำลังของโครงสร้างผิดพลาด และมีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร โดยเฉพาะในอาคารที่รับแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ตามมาตรฐานใหม่นี้จะอาจส่งผลให้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตในตลาดปัจจุบันประมาณ 20-30% ไม่ผ่านเกณฑ์
เสนอ 5 มาตรการสกัดการทุ่มตลาดเหล็กของเหล็กจีน
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (Prof.Dr.Suchatvee Suwansawat) นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวสรุปว่า “วสท.และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เสนอให้รัฐบาลพิจารณาป้องกันการทุ่มตลาดของเหล็กเส้นจีนเจือโบรอนและคุ้มครองอุตสาหกรรมเหล็กไทย 5 มาตรการคือ
1. กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ควรงดออกใบอนุญาตนำเข้าเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตจากประเทศจีน เนื่องจากคุณภาพอาจไม่สม่ำเสมอ ซึ่งมีผลต่ออายุการใช้งานและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้างและสาธารณูปโภคของประเทศ
2. ขอให้ภาครัฐออกมาตรการทางด้านภาษีและทางด้านมาตรฐาน เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศไทย เช่นเดียวกับนานาประเทศในภูมิภาคอาเซียนและอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน อินเดีย
3.อุดช่องโหว่ด้านกฎหมาย มิให้เหล็กจีนอ้างการเจือสารโบรอนพื่อปลี่ยนพิกัดศุลกากรและเลี่ยงภาษี 5% ขอให้กรมศุลกากรยึดหลักตามมาตรฐานอุตสาหกรรมเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตตาม มอก.20-2543 สำหรับเหล็กเส้นกลมและ มอก.24-2548 สำหรับเหล็กข้ออ้อยที่ระบุไว้ว่ามีส่วนประกอบ 4 ธาตุเท่านั้น โดยไม่มีธาตุโบรอนแต่อย่างใด
4.เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนและผู้ใช้งานเหล็กเส้น วิศวกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของโครงการ ผู้ออกแบบ ผู้ควบคุมงาน จนถึงตัวแทนจำหน่าย ให้ตระหนักถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้เหล็กเส้นเสริมคอนกรีตที่มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน หรือการใช้สินค้าราคาถูกเพื่อลดต้นทุนโดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม จะส่งผลโดยตรงต่อการรับแรงกระทำในโครงสร้างต่างๆและกระทบต่อความปลอดภัยของสาธารณชน
5.เสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีบุคคลากรที่เพียงพอและพัฒนาระบบตรวจประเมินคุณภาพการผลิตเหล็กจากแหล่งกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นที่ไว้วางใจ เพื่อประโยชน์ของประชาชน ธุรกิจอุตสาหกรรม เจ้าของโครงการและสังคมส่วนรวม
ปตท.สผ. คว้ารางวัลสูงสุดจากเวที Climate Action Awards 2025 สะท้อนความโดดเด่นในการดำเนินงานด้าน Decarbonization
SAPPE ตอกย้ำการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน ผนึกกำลัง TIPMSE และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในงานรวมพลังขับเคลื่อน EPR เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ให้เป็นวัตถุดิบ
"นิปปอนเพนต์" แบรนด์สีหนึ่งเดียวที่เหนือชั้นกว่า คว้ารางวัลเชิดชูเกียรติสูงสุด "Climate Action Excellence" โดย ส.อ.ท. พิสูจน์ความตั้งใจ การันตีองค์กรผู้นำด้านความยั่งยืนในทุกมิติ
OR ได้รับรางวัล Climate Action Excellence ตอกย้ำการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคตยั่งยืน
ส.อ.ท. จับมือ CBS-กสิกร-บพค. ยกระดับ SMEs ไทยสู่ SMART SMEs ด้วย Digital & AI
กลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี สอท. พร้อมดึงเทคโนโลยีเม็ดพลาสติกรีไซเคิล สนับสนุนอุตสาหกรรมไทยสู่ S-Curve หนุนทุกภาคส่วนนำพลาสติกใช้แล้วกลับมาเป็นวัตถุดิบครบวงจร
เบเยอร์คว้ารางวัล Climate Action Award ตอกย้ำผู้นำสีรักษ์โลกอันดับหนึ่ง มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero
TCMA คว้ารางวัล 'Outstanding Contribution' Climate Action Award 2025 ตอกย้ำบทบาทองค์กรศักยภาพ นำอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ขับเคลื่อนลดคาร์บอน
ส.อ.ท. จัด Climate Change Forum 2025 ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่เป้า Net Zero บางจากฯ คว้ารางวัลสูงสุด Climate Change Award องค์กรต้นแบบด้าน Climate Action