เจาะมุมมองแกนนำชุมชน ต่อบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย: กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศ

25 Jun 2015
รศ.ดร.เชษฐ รัชดาพรรณาธิกุล ประธานชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน (Thai Researchers in Community Happiness Association, TRICHA) เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจมาสเตอร์โพลล์(Master Poll) เรื่อง เจาะมุมมองแกนนำชุมชนต่อบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย : กรณีศึกษาตัวอย่างแกนนำชุมชนทั่วประเทศจำนวนทั้งสิ้น 1,077 ตัวอย่าง โดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบใช้ความน่าจะเป็นทางสถิติจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลแกนนำชุมชน ทั่วประเทศ รวบรวมโดย ชมรมนักวิจัยไทยเพื่อความสุขชุมชน ดำเนินโครงการในวันที่ 19-21 มิถุนายน 2558

ผลสำรวจการติดตามข้อมูลข่าวสารผ่านสื่อมวลชนในช่วง 30 วันที่ผ่านมา พบว่า แกนนำชุมชน ร้อยละ 56.9 ระบุติดตามทุกวัน/เกือบทุกวัน ในขณะที่ร้อยละ 29.2 ระบุติดตาม 3-4 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 7.5 ระบุติดตาม 1-2 วัน/สัปดาห์ ร้อยละ 5.5 ระบุน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง และร้อยละ 0.9 ระบุไม่ได้ติดตามเลย

คณะผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเห็นของแกนนำชุมชนต่อการพนันในสังคมไทย ผลการสำรวจ พบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 69.0 ระบุคิดว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมไทย ในขณะที่ร้อยละ 31.0 ระบุไม่ใช่ ทั้งนี้ร้อยละ19.6 ระบุเคยเล่นการพนันในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา ในขณะที่ร้อยละ 80.4 ระบุไม่เคยเล่น

หลังจากนั้นคณะผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเห็นของแกนนำชุมชนต่อประเด็นที่มีการนำเสนอในสังคมว่าเป็นข้อดีของการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทยโดยเริ่มต้นคำถามจาก "การเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายจะทำให้รัฐบาลมีรายได้เพิ่มมากขึ้น" ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 54.2 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ45.8 ระบุไม่เห็นด้วย สำหรับประเด็น "การเปิดบ่อนคาสิโนจะทำให้ประชาชนมีงานทำมากขึ้น มีนักท่องเที่ยวเข้าประเทศมากขึ้น" นั้นพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 69.5 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 30.5 ระบุไม่เห็นด้วย นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงข้อดีที่ว่า "การเปิดบ่อนคาสิโนจะช่วยป้องกันเงินรั่วไหลออกนอกประเทศ" พบว่าแกนนำชุมชนร้อยละ 66.6 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 33.4 ระบุไม่เห็นด้วย และเมื่อสอบถามว่า "การเปิดบ่อนคาสิโนจะช่วยลดจำนวนบ่อนเถื่อน/การพนันที่ผิดกฎหมาย" ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 66.0 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 34.0 ระบุไม่เห็นด้วย อย่างไรก็ตาม แกนนำชุมชนที่ถูกศึกษายังได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อดีของการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยระบุว่า การเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายมีข้อดี คือ จะสามารถควบคุมดูแลได้ง่ายขึ้น ลดการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ มีเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น ทำให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น พื้นที่ที่มีบ่อนคาสิโนจะได้รับการพัฒนาให้มีความเจริญมากยิ่งขึ้น

หลังจากนี้ คณะผู้วิจัยได้สอบถามความคิดเห็นของแกนนำชุมชนถึงประเด็นที่มีการระบุว่าเป็นข้อเสียของการเปิดบ่อนคาสิโนในประเทศไทย โดยเริ่มต้นจากประเด็นที่ว่า "บ่อนคาสิโนถูกกฎหมายจะทำให้ประชาชนหันมาเล่นการพนันมากขึ้น" ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 51.8 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 48.2 ระบุไม่เห็นด้วย สำหรับประเด็น "บ่อนคาสิโนจะกลายเป็นแหล่งฟอกเงินจากธุรกิจผิดกฎหมาย" นั้น ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 54.2 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 45.8 ระบุไม่เห็นด้วย นอกจากนี้แกนนำชุมชนร้อยละ 56.5 ระบุเห็นด้วยว่า "การเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายจะทำให้ปัญหาสังคม อาชญากรรม และยาเสพติดเพิ่มสูงขั้น" ในขณะที่ร้อยละ 43.5 ระบุไม่เห็นด้วยว่าจะเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้เมื่อสอบถามถึงประเด็น "เป็นการมอมเมาเยาวชน" นั้น ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 52.5 ระบุเห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 47.5 ระบุไม่เห็นด้วย ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม แกนนำชุมชนที่ถูกศึกษาได้ระบุความคิดเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อเสียของการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในประเทศไทยโดยระบุว่าการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายมีข้อเสีย คือ เหมือนเป็นการสนับสนุนให้ประชาชนเล่นการพนัน เกิดปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเจ้าหน้าที่รัฐที่ควบคุมดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ปัญหาผู้มีอิทธิพล ทำลายภาพลักษณ์อันดีของประเทศ ถ้าควบคุมไม่ได้จะทำให้เกิดผลกระทบที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั้งปัญหาครอบครัว ปัญหาหนี้สิน รวมถึงความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอีกด้วย

ประเด็นสำคัญที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งคือ คณะผู้วิจัยได้ให้แกนนำชุมชนเปรียบเทียบถึงข้อดี-ข้อเสียของการเปิดบ่อนคาสิโนที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย ว่ามีข้อดีหรือข้อเสียมากกว่ากัน ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 28.1 ระบุคิดว่ามีข้อดีมากกว่า ในขณะที่ร้อยละ 60.9 ระบุคิดว่ามีข้อเสียมากกว่า ทั้งนี้แกนนำชุมชนร้อยละ 11.0 ระบุไม่แน่ใจ

อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามต่อไปถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายนั้น ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 33.3 คิดว่าพร้อมแล้ว ในขณะที่ร้อยละ 59.9 ระบุคิดว่ายังไม่พร้อม ทั้งนี้ร้อยละ 6.8 ไม่ระบุความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าวนี้

และเมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามต่อไปว่า "ยอมรับได้หรือไม่" หากจะมีการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายในพื้นที่จังหวัดของตนเอง" ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 37.6 ระบุยอมรับได้ โดยให้เหตุผลว่าถ้ามีหลักการและระเบียบที่ดีก็ยอมรับได้ /มีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวของพื้นที่สร้างรายได้ในจังหวัด /เอาภาษีมาปรับปรุงในท้องที่/เป็นการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ ในขณะที่ร้อยละ 62.4 ระบุยอมรับไม่ได้ โดยให้เหตุผลว่า เป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อเด็กและเยาวชน/คิดว่าประชาชนยังไม่พร้อม/ประชาชนในพื้นที่ยังไม่ทราบข้อมูลรายละเอียด/ทำลายประเพณีดั้งเดิมของท้องถิ่น/เกรงว่าประชาชนจะลุ่มหลงแต่การพนัน

ประเด็นสำคัญสุดท้าย คือเมื่อคณะผู้วิจัยได้สอบถามแกนนำชุมชนว่า "หากมีการเปิดบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายขึ้นจริงในประเทศไทย จะทำให้ความนิยมที่มีต่อรัฐบาลและ คสช.เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง" ผลการสำรวจพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 9.4 ระบุจะทำให้มีความนิยมเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 55.3 ระบุนิยมเหมือนเดิม อย่างไรก็ตามแกนนำชุมชนร้อยละ 8.1 ระบุไม่นิยมเหมือนเดิม และร้อยละ 27.2 ระบุจะลดความนิยมลงคุณลักษณะทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม

แกนนำชุมชนร้อยละ 86.2 เป็นเพศชาย ในขณะที่ร้อยละ 13.8 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 7.9 มีอายุต่ำกว่า 40 ปี ร้อยละ 34.9 ระบุอายุ 40-49 ปี และร้อยละ 57.2 ระบุอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจำแนกตามระดับการศึกษาที่สำเร็จมาชั้นสูงสุดพบว่า ร้อยละ 36.3 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนต้น/ต่ำกว่า ร้อยละ 45.6 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ป.ว.ช. ร้อยละ 5.0 ระบุสำเร็จการศึกษาระดับอนุปริญญา/ป.ว.ส. ร้อยละ 13.1 สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ตามลำดับ

แกนนำชุมร้อยละ 73.2 มีอาชีพประจำคือเกษตรกร ร้อยละ 12.3 ระบุประกอบธุรกิจส่วนตัว/ค้าขาย ในขณะที่ร้อยละ14.5 ระบุมีอาชีพอื่นๆ อาทิ รับจ้าง ข้าราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ และไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ ทั้งนี้เมื่อพิจารณารายได้ต่อเดือนของครอบครัวพบว่า แกนนำชุมชนร้อยละ 35.7 ระบุมีรายได้ครอบครัวไม่เกิน 10,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 21.3 ระบุมีรายได้ครอบครัว 10,000–15,000 บาทต่อเดือน ร้อยละ 21.1 ระบุมีรายได้ 15,001-20,000 บาทต่อเดือน ในขณะที่แกนนำชุมชนร้อยละ 21.9 ระบุมีรายได้ครอบครัวมากกว่า 20,000 บาทต่อเดือน ตามลำดับ