สรุปผลการตรวจสอบรายได้ที่ต้องนำส่งรัฐจากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่บนคลื่น 1800 MHzยอดเงินรวมทั้ง 3 ช่วงเวลา หากพิจารณาตามหลักเกณฑ์ของคณะทำงานฯ บจ. ทรู มูฟ ต้องนำส่งรายได้ประมาณ 13,989.24 ล้านบาท และ บจ. ดิจิตอล โฟน ต้องนำส่งรายได้ประมาณ 879.59 ล้านบาท รวมทั้งสองบริษัทเป็นจำนวนเงิน 14,868.83 ล้านบาท แต่หากพิจารณาโดยหลักการรับฟังเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมจากผู้ให้บริการ บจ. ทรู มูฟ ต้องนำส่งรายได้ประมาณ 3,088.42 ล้านบาท และ บจ. ดิจิตอล โฟน ต้องนำส่งรายได้ประมาณ 879.39 ล้านบาท รวมทั้งสองบริษัทเป็นจำนวนเงิน 3,967.81 ล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า ผลการคิดคำนวณรายได้ที่ต้องนำส่งรัฐของสองแนวทางนี้มีความแตกต่างกันอย่างมากถึง 10,901.02 ล้านบาท โดยส่วนต่างของรายได้นี้เป็นส่วนต่างของ บจ. ทรู มูฟ ถึง 10,900.82 ล้านบาท หรือ 99.99 เปอร์เซ็นต์
ด้วยเหตุนี้ จึงต้องจับตาดูว่า กทค. จะมีมติในเรื่องนี้อย่างไร เห็นสอดคล้องกับแนวทางการคำนวณของคณะทำงานฯ หรือไม่ หรือว่าจะกลับลำด้วยการเปลี่ยนมติที่เคยเห็นชอบให้ทั้งสองบริษัทชำระรายได้ภายใต้ประกาศมาตรการเยียวยาฯ ช่วงที่ 1 ตามแนวทางการตรวจสอบรายได้ของคณะทำงานฯ ไปแล้วก็ตาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถึงแม้ในการประชุมครั้งนี้ กทค. จะมีมติเห็นชอบผลการตรวจสอบรายได้ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใดก็ตาม ประเด็นปัญหานี้ก็ใช่ว่าจะลงเอยได้โดยง่าย เพราะผลการตรวจสอบรายได้ทั้งสองแนวทางที่สำนักงาน กสทช. เตรียมนำเสนอนั้น ยังไม่ได้รวมค่าใช้จ่ายในส่วนค่าใช้โครงข่ายของ บมจ. กสท โทรคมนาคม ซึ่งก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ยังมีข้อพิพาทกันอยู่ด้วย โดย บมจ. กสท โทรคมนาคม ได้มีหนังสือแจ้งเป็นระยะให้สำนักงาน กสทช. ชำระค่าใช้โครงข่ายสำหรับการให้บริการในช่วงประกาศมาตรการเยียวยาฯ ขณะเดียวกันก็ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก กทค. กสทช. และสำนักงาน กสทช. จากเหตุที่ทำให้เกิดความเสียหายเนื่องจากไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมที่บริษัทเป็นเจ้าของภายหลังสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน ยิ่งไปกว่านั้น ผลจากการบังคับใช้ประกาศมาตรการเยียวยาฯ และการตรวจสอบเงินรายได้นี้ ยังนำไปสู่คดีฟ้องร้องที่ตามมาอีกหลายคดี เช่น บมจ. กสท โทรคมนาคม ฟ้องศาลปกครองขอให้มีคำสั่งเพิกถอนประกาศมาตรการเยียวยาฯ พร้อมทั้งเรียกค่าเสียหายอีกกว่า 275,658.36 ล้านบาท บจ. ทรู มูฟ และ บจ. ดิจิตอล โฟน ฟ้องศาลปกครองขอให้เพิกถอนมติ กทค. และคำสั่งที่ให้บริษัทนำส่งรายได้จากการให้บริการในช่วงที่ 1 นอกจากนี้ บจ. ทรู มูฟ ยังฟ้องขอให้สำนักงาน กสทช. คืนเงินค่าธรรมเนียมเลขหมาย ขณะเดียวกันสำนักงาน กสทช. เอง ก็มีการฟ้อง บจ. ทรู มูฟ และ บจ. ดิจิตอล โฟน กรณีไม่ชำระเงินรายได้นำส่งแผ่นดินช่วงที่ 1 ซึ่งความคืบหน้าล่าสุด พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้อง บจ. ทรู มูฟ เป็นคดีปกครองแล้ว ซึ่งเชื่อแน่ว่าปมปัญหานี้จะยังยืดเยื้อคาราคาซังไปอีกนาน แม้ กทค. ชุดนี้จะพ้นวาระไปแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถนำส่งรายได้จำนวนนี้ให้กับรัฐได้ และเช่นเดียวกัน หากเรื่องนี้ไม่ได้รับหยิบยกเป็นอุทาหรณ์เพื่อเตรียมการจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz อีกชุดหนึ่งที่สัญญาสัมปทานระหว่าง บมจ. โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น กับ บมจ. กสท โทรคมนาคม กำลังจะสิ้นสุดลงในปี 2561 สุดท้ายอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยก็จะตกร่องปัญหาเดิมนี้ซ้ำอีก ส่วนอีกวาระหนึ่งที่มีความเกี่ยวพันกัน ซึ่งสำนักงาน กสทช. เตรียมเสนอที่ประชุม กทค. พิจารณา คือเรื่องแนวทางดำเนินการในการเรียกเก็บเงินนำส่งรายได้จากผู้ให้บริการในช่วงประกาศมาตรการเยียวยาฯ โดยวาระนี้ สำนักงาน กสทช. เสนอว่า เนื่องจากตามประกาศมาตรการเยียวยาฯ ไม่ได้กำหนดให้การดำเนินการตรวจสอบเงินรายได้ จะต้องมีการพิจารณาแบ่งเป็นช่วงเวลาแต่อย่างใด แต่ให้ดำเนินการพิจารณาหักค่าใช้จ่ายตามเงื่อนไขตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน 2556 จนสิ้นสุดการให้บริการตามประกาศ แล้วนำไปหักออกจากรายได้ ดังนั้นเมื่อ กทค. พิจารณาและมีมติเห็นชอบเงินรายได้ทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อย ก็เท่ากับเป็นการออกคำสั่งใหม่ที่ทำให้ บจ. ทรู มูฟ และ บจ. ดิจิตอล โฟน มีหน้าที่จะต้องนำส่งเงินรายได้ตามมติ กทค. ซึ่งเท่ากับเป็นการทำให้คำสั่งเดิมที่เคยกำหนดให้ บจ. ทรู มูฟ และ บจ. ดิจิตอล โฟน ต้องนำส่งรายได้จากการให้บริการในช่วงที่ 1 สิ้นสุดลงด้วย และเมื่อคำสั่งดังกล่าวสิ้นสุดลง สำนักงาน กสทช. ก็จำเป็นต้องถอนฟ้องคดีปกครองที่ได้มีการยื่นฟ้องไปแล้ว ทั้งนี้เพื่อออกคำสั่งใหม่ แล้วหากบริษัททั้งสองไม่ยอมนำส่งรายได้ ก็ค่อยยื่นฟ้องเพื่อบังคับให้เป็นไปตามมติ กทค. ต่อไป สำหรับวาระนี้มีประเด็นที่น่าตั้งข้อสังเกตว่า แนวทางการดำเนินการที่สำนักงาน กสทช. นำเสนอนี้ ขัดกับแนวปฏิบัติในการตรวจสอบรายได้ตลอดช่วงเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา ของคณะทำงานฯ อีกทั้งการที่ประกาศมาตรการเยียวยาฯ ไม่ได้กำหนดให้การดำเนินการตรวจสอบเงินรายได้จะต้องมีการพิจารณาแบ่งเป็นช่วงเวลาก็ตาม แต่การที่กฎหมายไม่ได้กำหนดนั้น เป็นเรื่องดุลยพินิจที่กฎหมายมอบอำนาจให้เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นเรื่องชวนสงสัยอย่างยิ่งว่า เหตุใดสำนักงาน กสทช. นำเสนอความเห็นดังกล่าวให้ กทค. พิจารณา ทั้งที่หากเป็นแนวปฏิบัติเดิม ก็เพียงแค่ กทค. มีมติและสำนักงาน กสทช. มีคำสั่งให้ทั้งสองบริษัทนำส่งรายได้เพิ่มเติมในส่วนของการให้บริการช่วงที่ 2 และช่วงที่ 3 เท่านั้น มิใช่เป็นการออกมติใหม่ แล้วลบล้างมติเดิม และที่สำคัญกรณีนี้ได้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลางไปแล้วในส่วนการบังคับให้นำส่งเงินรายได้จากการให้บริการช่วงที่ 1 การถอนฟ้องแล้วเริ่มต้นกระบวนการออกคำสั่งใหม่ แล้วหากบริษัททั้งสองไม่ยอมนำส่งรายได้ จึงค่อยยื่นฟ้องนั้น ก็ไม่ต่างจากการยื้อเวลาและจะยิ่งทำให้การดำเนินการนำส่งรายได้ล่าช้ามากขึ้นไปอีก