นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก หรือ อบก. เปิดเผยว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเครื่องมือสำคัญที่สามารถเชื่อมโยงสู่การปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตและการบริโภคให้เกิดความยั่งยืน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยรวมของประเทศ และขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ อบก. ตระหนักถึงความสำคัญดังกล่าวจึงได้พัฒนาธุรกิจคาร์บอนเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ผ่านการส่งเสริมศักยภาพให้ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสามารถจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์เพื่อให้ทราบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ และนำผลที่ได้ไปกำหนดแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และต่อยอดให้เกิดการซื้อขายคาร์บอนเครดิตโดยการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอน นอกจากนี้ ยังได้เชื่อมโยงไปสู่การผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืนด้วยนวัตกรรมฉลากคาร์บอน และสร้างศักยภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรและขยายผลสู่การรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง เพื่อกำหนดแนวทาง ประเมินศักยภาพ และดำเนินกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อก้าวไปสู่การเป็นเมืองลดคาร์บอน
ผลการดำเนินการในการอนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองต่างๆ และกิจกรรมที่อบก. ส่งเสริมสนับสนุน ในปี2559 พบว่า
1) กิจกรรมชดเชยคาร์บอน ซึ่งเป็นการรับรองให้ใช้เครื่องหมาย Carbon Offset ซึ่งเป็นการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกบางส่วนและ Carbon Neutral ซึ่งเป็นเครื่องหมายรับรองการปล่อย
ก๊าวเรือนกระจกเท่ากับศูนย์ ในปีงบประมาณ 2559 มีผู้ที่ผ่านการรับรองประเภทองค์กร 14 บริษัท ประเภทผลิตภัณฑ์ 3 ผลิตภัณฑ์ จาก 2 บริษัท ประเภทบุคคล 76 คน และประเภทการจัดประชุม/สัมมนา และอีเว้นท์ จำนวน 9อีเว้นท์ มีปริมาณการซื้อคาร์บอนเครดิตจากการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนทั้งสิ้น 12,449 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งกระตุ้นให้เกิดตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศโดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ย 1.87 ล้านบาท
2) ฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) และฉลากลดโลกร้อน หรือ ฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์(Carbon Footprint Reduction) ซึ่งไทยเป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในอาเซียนที่มีระบบการรับรองสอดคล้องตามหลักสากล ปีงบประมาณ 2559 มีผลิตภัณฑ์ที่ได้ขึ้นทะเบียนทั้ง 2 ฉลากคาร์บอนรวมจำนวน 648 ผลิตภัณฑ์สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 1,347,022 ตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า
3) คาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้องค์กรในภาคอุตสาหกรรม สามารถวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของตนในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และนำผลที่ได้ไปใช้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการ และดำเนินกิจกรรมเพื่อลดการใช้พลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพประจำปี 2559 พบว่า มีองค์กรภาคอุตสาหกรรมดำเนินการและผ่านการรับรองจาก อบก. แล้ว จำนวน 42 องค์กร จาก 11 กลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งนี้ องค์กรได้นำผลการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ไปใช้กำหนดแนวทางการจัดการและแผนงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ซึ่งคาดว่าจะสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงได้อย่างน้อย 416,324.64 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
นอกจากนี้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ อบก. ได้พัฒนากลไก เครื่องมือ และระบบในการจัดการก๊าซเรือนกระจก ตลอดจนส่งเสริมการพัฒนาโครงการต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาสีเขียวของประเทศ (Green Growth) กลไกและเครื่องมือเหล่านี้ที่ อบก. พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย
โครงการ "สนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก" (Low Emission Support Scheme: LESS) ซึ่งมีแนวคิดในการพัฒนารูปแบบกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกพร้อมทั้งสร้างเครื่องมือการคำนวณปริมาณการลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน เพื่อความสะดวกต่อการพัฒนาโครงการ และส่งเสริมให้เกิดการสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก จาก "ผู้ให้" ในภาคองค์กรธุรกิจ ไปสู่ "ผู้รับ" ในชุมชน โดยในปีงบประมาณ 2559 มีผู้ขอการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้จากการดำเนินกิจกรรมภายใต้โครงการ LESS ในช่วงระยะเวลาการประเมินการลดก๊าซเรือนกระจกจนถึงปี 2559 จำนวน 258 กิจกรรม สามารถลดหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 79,200 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
โครงการ "ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย" (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) หรือ โครงการ T-VER คือ หนึ่งในกลไกการลดก๊าซเรือนกระจกที่ อบก.พัฒนาขึ้นภายใต้ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจของไทย เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้พัฒนาโครงการรายเล็ก มีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ ขณะที่ไม่ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism: CDM) นอกจากนี้ โครงการ T-VER ยังมีผลประโยชน์ร่วม (Co-benefit) ของการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น ช่วยลดมลพิษ เพิ่มความร่มรื่นและพื้นที่สีเขียว ลดการใช้พลังงานและค่าไฟฟ้า สนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชน และอื่นๆ รวมถึงการส่งเสริมพัฒนาอาชีพใหม่ๆ มากขึ้นด้วย ในปีงบประมาณ 2559 มีโครงการที่ขึ้นทะเบียนทั้งสิ้น 19 โครงการ โดยมีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลดได้รวมกัน 378,122 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี และมีโครงการที่ได้ผ่านการรับรองปริมาณการลดก๊าซเรือนกระจก (TVERs)จำนวน 15 โครงการ คิดเป็นปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดได้ 249,612 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
โครงการ "การส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง เพื่อสนับสนุนการพัฒนาสู่เมืองคาร์บอนต่ำ " เป็นโครงการที่ส่งเสริมให้ เมือง/เทศบาล สามารถทราบถึงปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในขอบเขตการปกครองและสนับสนุนให้เมืองมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการจัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกระดับเมือง รวมถึงการประเมินศักยภาพของกิจกรรมและเทคโนโลยีในปัจจุบันของเมืองและเทคโนโลยีที่เหมาะสมและมีความเป็นไปได้ในการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่สอดคล้องกับบริบทของ "เมือง" โดยในปีงบประมาณ 2559 มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้วเสร็จ จำนวน 24 แห่ง และจัดทำรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองแล้วเสร็จจำนวน 24 แห่ง
โครงการ "การพัฒนาแนวทางการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับเมืองขนาดใหญ่และแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เหมาะสม" ซึ่งเป็นแนวทางในการวางแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความครอบคลุมในทุกภาคส่วนของเมือง ยกระดับ (Scale-up) การจัดการก๊าซเรือนกระจกในเมืองที่มีขนาดใหญ่ และสามารถนำผลการดำเนินงานดังกล่าวไปขยายผลยังเมืองต่างๆ เพื่อสนับสนุนประเทศไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ในปีงบประมาณ 2559 นี้ ได้เริ่มดำเนินโครงการร่วมกับ 2 จังหวัดนำร่อง ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และจังหวัดภูเก็ต
โครงการต้นแบบ "ภาคีสนับสนุนป่าชุมชนลดโลกร้อน" เป็นโครงการที่ อบก. พัฒนาร่วมกับ กรมป่าไม้ เพื่อส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนและประชาชน สนับสนุนกิจกรรมของชุมชนในการบริหารจัดการป่าชุมชนอย่างยั่งยืน รวมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของป่าชุมชนในการลดก๊าซเรือนกระจกและบรรลุประโยชน์ร่วมอื่นๆ บนพื้นฐานของการสร้างกระบวนการดำเนินงานภาครัฐ ร่วมกับภาคเอกชน และประชาชน ตลอดจนส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) โดยใน ปีงบประมาณ 2559 ได้ร่วมกับภาคเอกชน 3 แห่งที่ประสงค์จะให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการดังกล่าวในพื้นที่ป่าชุมชนต้นแบบ จำนวน 3 แห่ง ได้แก่
1) บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ ป่าชุมชนบ้านเขามุสิ จังหวัดกาญจนบุรี
2) บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ ป่าชุมชนบ้านร่องบอน จังหวัดเชียงราย
3) บริษัท บีแอลซีพี เพาเวอร์ จำกัด ให้การสนับสนุนงบประมาณแก่ ป่าชุมชนบ้านศาลเจ้า จังหวัดระยอง
ในอนาคต อบก. ก็จะยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการและลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับทุกภาคส่วนต่อไป เพื่อนำประเทศมุ่งสู่ "สังคมคาร์บอนต่ำ" และบรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ20-25 ภายในปี พ.ศ. 2573 (ค.ศ. 2030) เมื่อเทียบกับกรณีการดำเนินธุรกิจตามปกติ (BAU) ตามที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทยได้ประกาศไว้ในที่ประชุมสมัชชารัฐภาคีของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) สาขาตรัง ได้รับการรับรองเป็น "องค์กรผู้นำด้านการจัดการก๊าซเรือนกระจก (CALO)"
บริษัท ศรีตรัง รับเบอร์ แอนด์ แพลนเทชั่น จำกัด คว้ารางวัล "โครงการคาร์บอนเครดิตยอดเยี่ยมภาคเกษตร" ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่เกษตรกรรมยั่งยืน
แม่กระทิงเพาเวอร์ จำกัด คว้ารางวัลโครงการรับรองคาร์บอนเครดิต ปี 2568 ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
"เจียไต๋" รับมอบประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอน ตอกย้ำผู้นำนวัตกรรมเกษตรเพื่อความยั่งยืน
'เวฟ บีซีจี' ควง 'พีทีจี' รับรางวัล 'Premium T-VER Award' จาก อบก. ตอกย้ำความมุ่งมั่นผู้นำและพัฒนา สร้างคาร์บอนเครดิตระดับสากล
PTG คว้ารางวัล Premium T-VER Award
บางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น โรงไฟฟ้าในเครือ CKPower รับประกาศนียบัตรฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นต์
DEXON รับมอบฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร จากTGO ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero
อีมิแน้นท์แอร์ คว้า 2 มาตรฐานใหญ่ด้านสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำผู้นำแอร์ไทยรักษ์โลก