โดยคุณ
ประคุณ เลาหกิตติกุล, ผู้อำนวยการประจำ
ประเทศไทยของบริษัทอรูบ้า หนึ่งในบริษัทของฮิวเลตต์ แพคการ์ด เอนเตอร์ไพรส์
ปัจจุบันภูมิภาค
เอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุดในโลกโดยมีการขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นผลอันเนื่องมาจากการตื่นตัวในการใช้อุปกรณ์พกพาและการเพิ่มขึ้นของคนรุ่นยุคมิลิเนียน ผนวกการริเริ่มนโยบายของรัฐบาลประเทศต่างๆทั่วทั้งเอเชียที่สนับสนุนและผลักดันการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจสังคมให้เป็นดิจิตอลในระดับกว้างขวาง (mass digitization) - จากนโยบาย Digital India ไปจนถึง Hong Kong Smart City Blueprint ในอนาคตการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะยิ่งขยายตัวมากขึ้น ด้วยการเข้ามาของ(1) ทุนและผลประโยชน์ของจีนจะเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นช่วยผลักดันการเติบโตทางเทคโนโลยีของภูมิภาคนี้ต่อไป
สำหรับประเทศไทยรัฐบาลได้ผลักดันตัวแบบนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจที่เรียกว่า Thailand 4.0 ขึ้นมาโดยมุ่งหวังว่าการนำเทคโนโลยีมาใช้มากยิ่งขึ้นจะเป็นตัวผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจต่อไป บางส่วนของนโยบายนี้ประกอบด้วยการขยายความสามารถทางเทคโนโลยีหลัก ๆ ดังเช่น เทคโนโลยีชีวะภาพ เทคโนโลยีการดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ ยิ่งกว่านั้นตัวแบบนี้ยังเน้นผลักดันให้ทำการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานในการเชื่อมต่อทั้งหลายของประเทศให้ดีขึ้น และเพิ่มความสามารถให้แก่องค์กรธุรกิจท้องถิ่นด้วยการใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและความสามารถในการผลิตของธุรกิจ
ในขณะเดียวกัน สาธารณะชนคนไทยก็ยอมรับการปรับตัวเป็นดิจิตอลมากขึ้น การมีการเชื่อมต่อและอุปกรณ์พกพาเป็นเรื่องปกติธรรมดาของคนในยุคมิลิเนียมแล้ว ซึ่งคิดเป็น 32 % ของประชากรทั้งประเทศ จากรายงานงานวิจัยของ Frost & Sullivan คาดการณ์ว่าการใช้จ่ายใน IoT ของประเทศไทยจะขยายตัวอย่างรวดเร็วจนถึง 973.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ (2) (ประมาณ 32,000 ล้านบาทไทยที่อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ฯ ) ในปี 2020 (พ.ศ. 2563)
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนเป็นดิจิตอลมักตามมาด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมทาง IT ที่ซับซ้อน เมื่อรัฐบาลหรือองค์กรเอกชนนำเทคโนโลยีอย่างเช่น hybrid cloud, the internet of Things (IoT) และปัญญาประดิษฐ์มาใช้ร่วมกัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อสภาพแวดล้อมทาง IT มีความซับซ้อนมากขึ้นยอมเพิ่มความอ่อนไหวต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์มากขึ้นตามไปด้วย เห็นได้จากการโจมตีโดย ransomware ที่ชื่อ WannaCry และ Petya เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา อาชญากรรมทางไซเบอร์ได้พัฒนาขึ้นไปมากและในปัจจุบันมีอันตรายสูงถึงขั้นทำให้โลกทั้งโลกปั่นป่วนกันไปหมด
ภัยคุกคามเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะอยู่ใกล้ตัวเอามาก ๆ เพราะว่าองค์กรต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียกว่า 80% เห็นว่าตัวเองมีโอกาสถูกโจมตีมากกว่าองค์กรในภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก(3) แม้ว่า UN Global Cybersecurity index จะให้ประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์จัดอยู่ในประเทศที่มีความปลอดภัยทางไซเบอร์สูงในระดับสามอันดับต้น ๆ ในการในรายงานปี 2017 แต่ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียอย่างเช่น จีน อินเดีย ไต้หวัน และเวียดนามล้วนได้รับความเสียหายค่อนข้างสูงจากการโจมตีของ WannaCry ตามข้อเท็จจริงแล้วครึ่งหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตีในสองวันแรกอยู่ในประเทศจีน ตามรายงานของ National Computer network Emergency Response Centre ของจีนเอง
เมื่อองค์กรต่าง ๆ ต้องมุ่งมั่นให้โซลูชั่นที่ดีที่สุดแก่ลูกค้าของตน พวกเขาจะมั่นใจได้อย่างไรว่ายังคงสามารถรักษาระดับการให้บริการที่รวดเร็ว มีความปลอดภัยสูง มีผลกระทบที่ดีและทันต่อความต้องการของลูกค้า ? ต่อไปนี้เป็นโซลูชั่นใหม่ 4 ประการในปีใหม่สำหรับธุรกิจทั้งหลายที่จะต้องมีในรายการ checklist ที่จำเป็นต้องมีของตน
ปีใหม่ เราต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ (New year, new you)
ก่อนที่เราจะพิจารณาแนวโน้มของสภาพแวดล้อมในระดับมหัพภาคเราจำเป็นต้องมองทบทวนและตรวจสอบภายในองค์กรของเราก่อน
ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วนี้ การทำระบบ IT ให้เป็นอัตโนมัติและนำบริการบนระบบคลาวด์มาใช้งานกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความสามารถให้ธุรกิจปรับตัวตามทันการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากนี้ การใช้อุปกรณ์พกพาอย่างแพร่หลายได้เปลี่ยนธรรมชาติของการเข้าถึงระบบ IT ให้จำเป็นต้องสามารถรองรับอุปกรณ์หลากหลายที่แต่ละคนมีโดยการเข้าจากสถานที่ใดก็ได้ซึ่งไม่สามารถกำหนดคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ต้องรองรับการจราจรของข้อมูลบนระบบเครือข่ายในรูปแบบใหม่ ๆ การเข้าสู่ระบบเครือข่ายของอุปกรณ์ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนและสภาพแวดล้อมทาง IT ที่สลับซับซ้อนแต่อ่อนไหวต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์โดยปราศจากขอบเขตด้านการรักษาความปลอดภัย
ตามรายงานของ Frost & Sullivan พบว่ามีเพียง 4.3 % ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียที่เชื่อว่าตนเองสามารถยืดหยัดต่อสู้กับภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้ ในทำนองกลับกันเท่ากับเป็นการชี้ให้เห็นว่าองค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ไม่มีความมั่นใจในความระดับความพร้อมของระบบป้องกันความปลอดภัยทางไซเบอร์ของตน(4) ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งใน 25 ประเทศระดับต้น ๆ ของโลกที่ติด malware (5) โดยมีมากกว่า 5 ล้านอุปกรณ์ที่ติด malware ข้อมูลจาก Microsoft Digital Crimes Unit สถาปัตยกรรมระบบเครือข่ายแบบดั้งเดิม(legacy) สร้างมาเพื่อรองรับยุค client-server ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับรองรับความต้องการในปัจจุบันขององค์กรต่าง ๆ และลูกค้าที่ต้องการให้สามารถรองรับการใช้อุปกรณ์พกพา IoT และทำงานได้บนระบบคลาวด์
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้ระบบเครือข่ายแบบใหม่ที่เป็น intelligent core system เพื่อจะสามารถรองรับโอกาสและความท้าทายทางธุรกิจใหม่ ๆ ได้ องค์กรธุรกิจจำเป็นต้องทำระบบเครือข่ายของตนให้ทันสมัย ผนวกระบบมีสายและไร้สายเข้าด้วยกันเป็นระบบเดียว นำเครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้เพื่อเปลี่ยนที่ทำงานให้เป็นดิจิตอล ในปี 2018 (พ.ศ.2561) องค์กรส่วนมากจะต้องมี intelligent core system ซึ่งค่อนข้างยืดหยุ่น มีระบบปฏิบัติการณ์ที่สามารถเขียนโปรแกรมเพิ่มเติมได้เต็มที่ตามต้องการและระบบรักษาความปลอดภัยที่สามารถครอบคลุมทุกระดับการใช้งาน และยังคงเป็นระบบเครือข่ายที่สามารถขยายได้ตามความต้องการและง่ายในการบริหารจัดการอีกด้วย
ทำอย่างอาจได้อย่างอื่นที่คาดไม่ถึง (What goes around might not always come around)
ก้าวเดินเล็ก ๆ ที่ผิดพลาดในวันนี้อาจมีผลร้ายในขนาดที่มโหฬารในอนาคต สะท้อนภาพการรักษาความปลอดภัยบนระบบเครือข่าย ช่องโหว่เล็ก ๆ ช่องหนึ่งหรือการมองข้ามจุดเล็ก ๆ ในบางมาตรการรักษาความปลอดภัยสามารถนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลอย่างมโหฬารจนเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ (headline-grabbing data breach) ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจว่ามีความสามารถในการมองเห็นที่ชัดเจนและโปร่งใสครอบคลุมทุก ๆ ส่วนขององค์กรในการสร้างศักยภาพเพื่อป้องกันการโจมตีใด ๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ขณะที่บริษัทมากกว่าครึ่งในภูมิภาคเอเชียนำเทคโนโลยี IoT เข้ามาใช้งานในปัจจุบัน แต่กลับพบว่ามีถึง 84 % ของบริษัทเหล่านี้เคยประสบกับการโจมตีและการรั่วของระบบรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ IoT(6) ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า IoT นั้นเองเป็นตัวนำความท้าทายและภัยคุกคามตัวใหม่มาให้องค์กร และทุกองค์กรจะต้องตื่นตัวระมัดระวังต่อภัยคุกคามใด ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นต่อข้อมูลและทรัพยากรทาง IT โดยผ่านอุปกรณ์ IoT
คำถามคือจะนำกลยุทธความปลอดภัยสำหรับ IoT ที่ดีที่สุดมาใช้ได้อย่างไร องค์กรจำเป็นต้องระบุลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ละเอียดมากขึ้นและกำหนดการใช้งานตามบทบาทของผู้ใช้เป็นส่วน ๆ สำหรับการเข้าสู่ระบบเครือข่าย รวมทั้งทบทวนการเปลี่ยนแปลงในการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย (campus design) ทั้งหมด กลยุทธการรักษาความปลอดภัยขององค์กรสำหรับ IoT ต้องรวมถึงการสร้างโพลิซี่โดยอัตโนมัติที่สามารถระบุว่าอุปกรณ์ไหนสามารถเชื่อมต่อเข้ามาได้ สามารถเข้าถึงข้อมูลและแอพพลิเคชั่นอะไรได้บ้าง และใครมีอำนาจในการบริหารจัดการและดูแลรักษาอุปกรณ์เหล่านี้ นั่นหมายถึงจะต้องมีโซลูชั่นที่สามารถรักษาความปลอดภัยให้แก่ธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานของ IOT ขององค์กรผ่านแนวคิดต้องปิดช่องโหว่บนคลาวด์ให้หมด (closed-loop approach) ดังเช่นการใช้ Aruba 360 Secure Fabric มาช่วยเพิ่มความสามารถในการมองทะลุปรุโปร่งถึงพฤติกรรมการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ในช่วงเวลาต่าง ๆ อันเป็นกุญแจที่สำคัญมากในการสร้างกลยุทธระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับ IoT อย่างครบถ้วนสมบูรณ์