ธนาคารไทยจะ เพิ่มเงินฝาก หรือ เพิ่มรายได้จากการขายกองทุน?

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

          ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มองว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยอาจจะต้องเลือกระหว่างการเพิ่มเงินฝากเพื่อตอบสนองความต้องการสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น หรือดึงดูดการลงทุนในกองทุนรวมเพื่อเพิ่มรายได้ส่วนค่าธรรมเนียม ในยุคที่สภาพคล่องเริ่มตึงตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
          ในยุคที่ดอกเบี้ยตลาดอยู่ในระดับต่ำทำให้การฝากเงินในธนาคารไม่น่าดึงดูดอีกต่อไป นักลงทุนจึงมองหาสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝากและยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การลงทุนในกองทุนรวม โดยพบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กองทุนรวมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ -22% ถึง +18% ในขณะที่ผลตอบแทนของเงินฝากประจำอยู่ที่ 1.34%-2.73% เท่านั้น
          กองทุนรวมจึงดูเป็นการลงทุนที่น่าสนใจกว่าการฝากเงินในธนาคารมาก ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ขนาดกองทุนรวมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่าปีละ 17% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวในเวลาอันรวดเร็ว จาก 2 ล้านล้านบาทเป็น 4.6 ล้านล้านบาท
          นอกจากนี้ หากพิจารณาด้านความเสี่ยง นักลงทุนอาจมองว่ากองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income funds) ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิคิดเป็นกว่า 50% ของกองทุนรวมทั้งหมด (2.7 ล้านล้านบาท) มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ โดยความเสี่ยงที่ผู้กู้จะไม่สามารถจ่ายเงินคืนแก่นักลงทุน (Credit risk) และความเสี่ยงที่นักลงทุนจะไม่สามารถขายหน่วยลงทุนคืนได้เมื่อต้องการในราคาที่เหมาะสม (Liquidity risk) นั้นมีโอกาสเป็นไปได้น้อย เนื่องจากส่วนใหญ่ลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นพันธบัตรรัฐบาล อีกทั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยในตลาดที่อยู่ในระดับต่ำและไม่ผันผวนมาก ทำให้การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ "ดูเหมือน" จะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาที่เกิดจากดอกเบี้ยที่เปลี่ยนไป (Interest rate risk) อยู่ในระดับต่ำเช่นเดียวกัน
          นักลงทุนจึงอาจมองว่ากองทุนรวมสามารถทดแทนการฝากเงินในธนาคารได้ และปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินบางส่วนที่นักลงทุนจะนำไปฝากธนาคาร ถูกนำไปลงทุนในกองทุนรวมเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่มากกว่าแทน ซึ่งในช่วงที่สภาพคล่องยังล้นตลาดจากมาตรการซื้อสินทรัพย์ (คิวอี) ของธนาคารกลางหลัก อย่าง ธนาคารกลางยุโรป และธนาคารกลางญี่ปุ่น เช่นตอนนี้ การระดมเงินฝากโดยธนาคารพาณิชย์ควบคู่ไปกับการเติบโตของกองทุนรวมจึงไม่ได้เป็นเรื่องยากสำหรับธนาคารพาณิชย์นัก
          อย่างไรก็ดี ในอนาคต สภาพคล่องที่หายไปจากการที่ธนาคารกลางใหญ่หลายแห่งตัดสินใจลดคิวอี อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ต้องเลือกระหว่างการระดมเงินฝากเพื่อปล่อยกู้ในภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีและความต้องการสินเชื่อคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น กับการขายกองทุนรวมเพื่อสร้างรายได้ให้แก่ธนาคาร ซึ่งรายได้ดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงปีที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์อาจจะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อที่จะอยู่รอดในยุคที่สภาพคล่องไม่ได้เฟ้ออีกต่อไป
 
 

ข่าวศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ+ธนาคารพาณิชย์ไทยวันนี้

TISCO ESU ปรับเพิ่ม GDP ไทยปี 68 โต 2.1% มาตรการรัฐ-ส่งออกหนุน แต่ความเสี่ยงยังมีรอบด้าน

TISCO ESU ปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2568 ขึ้นเป็น 2.1% จากเดิม 1.9% รับแรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี ผลกระทบจากภาษีสหรัฐฯ เบากว่าคาด ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวโดดเด่น เตือนความเสี่ยงยังมีอยู่รอบด้าน ฟันธง ธปท. ลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ในการประชุมรอบสุดท้ายของปี นายเมธัส รัตนซ้อน หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) (Methas Rattanasorn, Head of Economics, TISCO Economic Strategy Unit) เปิดเผยว่า TISCO ESU ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของ

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (T... ไทยปิดดีลภาษีทรัมป์ที่ 19% หนุนเศรษฐกิจไทยโตเกินคาด TISCO ESU ประเมิน GDP ปีนี้แตะ 1.9% — ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) เผยไทยปิดดีลภ...

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (T... TISCO ESU ชี้ "ทองคำ" ยังเป็นหลุมหลบภัย แนะทยอยลงทุนกระจายความเสี่ยงพอร์ตระยะกลาง - ยาว — ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ชี้ "ทองคำ" ย...