นายสุนันท์ นวลพรหมสกุล ในฐานะรองโฆษกการยางแห่งประเทศไทย เผยว่า สถานการณ์ยางพารา ในช่วงเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม ของทุกปีเป็นช่วงที่ปริมาณยางออกสู่ตลาดสูง ทำให้ราคายางในสภาพปกติมีแนวโน้มปรับตัวลดลง สำหรับปีนี้ ภาพรวมราคายางเป็นไปตามกลไกตลาด โดยราคาทั้งในและต่างประเทศ ปรับตัวในทิศทางเดียวกัน แต่ปัญหาราคายางขณะนี้ สาเหตุที่แท้จริงมาจาก (1) ปริมาณผลผลิตและความต้องการใช้ยางไม่สมดุลกัน ส่งผลต่อราคาขาย โดยประเทศผู้ผลิตหลักทั้ง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ราคาปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน แต่ราคายางในประเทศไทยยังคงสูงกว่าประเทศอื่น นอกจากนี้ ยังมีประเทศผู้ผลิตยางรายใหม่ มีผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปี 2559 สูงมาก เช่น กัมพูชา เพิ่มขึ้น 33.1% อินเดีย เพิ่มขึ้น 21.0% และ เวียดนาม เพิ่มขึ้น 11.3% ทำให้ผลผลิตทั่วโลกเพิ่มขึ้น (2) ปัจจัยด้านเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลก ทั้งจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ทำให้เกิดการชะลอซื้อของประเทศผู้ใช้ยางเหล่านี้ รวมถึง ความตึงเครียดทางการเมืองหลายประเทศ ทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อและราคาในตลาดล่วงหน้ามีความผันผวนอย่างรุนแรง ส่งผลกระทบต่อราคายางของตลาดซื้อขายจริงในประเทศที่ปรับตัวลดลงตามไปด้วย (3) การเก็งกำไรของนักลงทุนทั้งตลาดซื้อขายจริงในประเทศและตลาดล่วงหน้า กระทบต่อการซื้อขายทำให้ราคาในตลาดนั้นๆ มีความผันผวนลดลงเช่นกัน

""การยางแห่งประเทศไทย(กยท.) ยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ดำเนินงานบริหารจัดการภายใต้แผนการดำเนินงาน นโยบายและเป้าหมายที่รัฐบาล กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กยท.วางไว้ อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวิธีการทำงานมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความเหมาะสมตามบริบทนั้นๆ ที่สำคัญ โลกมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเร็ว แต่ กยท. ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ทั้งเกษตรกร สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ผู้ประกอบกิจการยาง และผู้เกี่ยวข้องในวงการยางพารา อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดที่ดำเนินการมาตลอดนั้นอาจจะเห็นผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว มุ่งหวังเพียงให้การพัฒนาวงการยางพาราทั้งระบบสามารถก้าวเดินไปอย่างมั่นคง และยั่งยืน"" รองโฆษก กยท. กล่าวทิ้งท้าย