นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ประเทศสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ในฐานะผู้นำความร่วมมือด้านการเกษตร ภายใต้กรอบ "ความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative Muiti-Sectoral Technical and Economic cooperation : BIMSTEC) ได้จัดการประชุมกลุ่มผู้ส่งออกใน BIMSTEC ประเด็น "การจัดการโซ่คุณค่าของสินค้าเกษตร" ในระหว่างวันที่ 30-31 กรกฎาคมที่ผ่านมา ณ กรุงเนปยีดอ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยผู้แทนจากประเทศกลุ่มผู้ส่งออกใน BIMSTEC 4 ประเทศ ได้แก่ ศรีลังกา อินเดีย บังกลาเทศ และไทย รวมทั้งผู้แทนจากภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาโซ่คุณค่าสินค้าเกษตร โดยมี Dr. Thanda Kyi ผู้อำนวยการฝ่ายแผน กระทรวงเกษตร ปศุสัตว์ และชลประทาน เป็นประธานการประชุม และในส่วนของไทยมีผู้แทนจาก สศก. เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย
ในการนี้ ที่ประชุมได้หารือร่วมกันในประเด็นต่างๆ ที่แต่ละประเทศนำเสนอ ประกอบด้วย 1) การบูรณาการแผนขับเคลื่อนภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคการเกษตร ปี 2560 - 2564 และจัดทำพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธะสัญญา ปี 2560 ของประเทศไทย 2) แผนขับเคลื่อนโซ่คุณค่าสินค้าเกษตรของสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ภายใต้แผนปฏิบัติงานแห่งชาติสำหรับภาคการเกษตร ปี 2559/60 - 2563/64 โดยเน้นพัฒนาคุณภาพสินค้าด้วยหลักการ Myanmar GAP ซึ่งสอดคล้องกับ ASEAN GAP และยังมีความร่วมมือกับภาคเอกชนในการทำเกษตรพันธสัญญา ช่วงปี 2560 - 2561 ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 7,772 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว 3) แผนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เน้น 4 รูปแบบของประเทศศรีลังกา ได้แก่ การพัฒนาโซ่คุณค่า การถ่ายทอดนวัตกรรมและเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการพัฒนาธุรกิจบริการด้านการเกษตร 4) ความสำคัญต่อการพัฒนาโซ่คุณค่าโดยจำเป็นต้องสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมให้เหมาะสมของอินเดีย เพื่อให้ผู้ประกอบการใหม่สามารถผลิตนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ตลาด บ่มเพาะธุรกิจให้เติบโต และส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตสินค้าภายในประเทศเพิ่มขึ้น 5) นโยบายด้านการเกษตรของประเทศบังกลาเทศ ปี 2561 มุ่งเน้นการสร้างโซ่อุปทานที่ยั่งยืนตั้งแต่ผู้ผลิตถึงผู้บริโภค และ 6) ภาคเอกชนของเมียนมาให้ความเห็นว่าภาครัฐควรมีกฎหมายหรือข้อบังคับเพื่อดูแลคู่สัญญาของเกษตรพันธสัญญา และควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพิ่มขึ้นเพื่อให้การพัฒนาโซ่คุณค่าภายในประเทศสมาชิกให้มีประสิทธิภาพ
สำหรับประเทศไทย ได้เน้นการบูรณาการแผนขับเคลื่อนภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาโลจิสติกส์และโซ่อุปทานภาคการเกษตร ปี 2560 - 2564 และจัดทำพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา ปี 2560 ของประเทศไทย โดยกระทรวงเกษตรฯ มีโครงการภายใต้แผนขับเคลื่อนฯ จำนวน 91 โครงการ ซึ่งที่ประชุมเห็นด้วยกับประเทศไทยและอินเดียในการจัดทำกลไกทางกฎหมายในระบบเกษตรพันธะสัญญาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และเห็นพ้องว่าการสร้างความไว้วางใจกันระหว่างคู่สัญญาเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ ที่ประชุมเห็นร่วมกันว่าควรมีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ในการดำเนินงานด้านเกษตรพันธสัญญาให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับกฎหมาย นโยบายและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาโซ่คุณค่าสินค้าเกษตรให้เป็นรูปธรรมชัดเจนต่อไป
เลขาธิการ สศก. เตรียมนำทีม ลุย Crop Cutting ภาคสนามเพชรบูรณ์ 27 ตุลาคมนี้ ลงพื้นที่แปลงข้าวโพดเกษตรกร ยกระดับข้อมูลแม่นยำพืชเศรษฐกิจของประเทศ
ของดีเมืองสงขลา 'ส้มโอหอมควนลัง' GI เกษตรกรรวมกลุ่มผลิตส้มโอคุณภาพ ออกตลาด ต.ค. - พ.ย. นี้
'แปลงใหญ่ทั่วไป (ข้าว)' จ.สุพรรณบุรี ผลิตข้าว GAP คุณภาพ แหล่งให้บริการเครื่องจักรกลการเกษตรในพื้นที่ สร้างรายได้ให้กลุ่ม 810,000 บาท/ปี
สศท.12 ชวนศึกษาวิถี เกษตรอินทรีย์ 'บ้านสวนน้อยชมจันทร์' จ.เพชรบูรณ์ แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบยั่งยืน
สศท.5 หนุน 'ผำ' อาหารแห่งอนาคต สู่โปรตีนทางเลือกยุคใหม่ ตามนโยบายเกษตรมูลค่าสูง
โครงการปรับปรุงคลองส่งน้ำ ท่ามะกา ระยะ 5 ช่วยเกษตรกร 40 ครัวเรือน ผลผลิตและรายได้เพิ่ม
ปีนี้ ไม้ผลภาคใต้ 4 ชนิด ผลผลิตรวม 6.7 แสนตัน สศท.8 ชวนบริโภค 'ลองกอง' ในฤดู ก.ย. - ต.ค. นี้ ออกตลาด ร้อยละ 42
สศก. ลงพื้นที่สมุทรสาคร หนุนเกษตรกรเลี้ยงกุ้งขาวแวนนาไม GAP ชี้ได้เปรียบทั้งคุณภาพและความปลอดภัย
สศก. จัดสัมมนาระดมความเห็น ดึงแพลตฟอร์ม "AgriDataProv" ขับเคลื่อนการเกษตรด้วย Big Data สู่จังหวัดยุคดิจิทัล