คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต แนะรัฐบาลใหม่ควรทบทวนร่าง พ.ร.บ.ไซเบอร์ หวั่นส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

           คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต แสดงความคิดเห็น เสนอแนะรัฐบาลใหม่ควรทบทวนร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ คาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม รวมทั้งอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการดำเนินธุรกิจหากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม หากรีบประกาศใช้โดยไม่ทบทวนเนื้อหา กระทบภาคการลงทุนและความเชื่อมั่นนักลงทุน 
          แน่นอน ไม่ควรมีการบังคับใช้กฎหมายจนกว่าจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง อาจถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไม่เป็นธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองได้เสี่ยงเกิดสภาวะ Big Brother มีการสอดส่องพฤติกรรมต่างๆของประชาชน ธุรกิจเอกชนทางออนไลน์ เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม กระทบความเชื่อมั่นต่อนักธุรกิจและนักลงทุนได้ เพราะกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ได้ให้อำนาจในการล้วงข้อมูล ดักฟังและเจาะฐานข้อมูลไซเบอร์หรือบอกให้ผู้ให้บริการเครือข่ายส่งข้อมูลต่างๆให้รัฐได้ เสนอควรเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจตามกฎหมายโดยศาลเพิ่มเติม 

          คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต 
          ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้กล่าวถึงการเร่งรีบรวบรัด ปราศจากระบบตรวจสอบถ่วงดุลในการผ่านกฎหมายความมั่นคงทางไซเบอร์โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่า รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งควรทบทวนร่างพระราชบัญญัติความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ แม้นกฎหมายนี้มีความจำเป็นต่อระบบความมั่นคงของระบบไซเบอร์อันส่งผลต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ทางการเงินการลงทุน ทางสังคมและการเมือง เป็นเครื่องมือในการจัดการกับอาชญากรทางด้านไซเบอร์ แต่หากผ่านมาบังคับใช้ตามเนื้อหาที่ สนช อนุมัติ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจดิจิทัล เศรษฐกิจฐานนวัตกรรม การสร้างสรรค์ในโลกไซเบอร์และธุรกิจออนไลน์ได้รวมทั้งอาจกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนและการล่วงละเมิดต่อความลับทางธุรกิจและทรัพย์สินทางปัญญาได้หากมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม โดยมีประเด็นที่ต้องแก้ไขและข้อสังเกตเนื้อหาและมาตราต่างๆของกฎหมายที่เป็นเหมือน "กฎอัยการศึกของโลกออนไลน์" ดังต่อไปนี้ 
          ประเด็นที่หนึ่ง รัฐบาลและสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้นำเอาข้อเรียกร้องและข้อท้วงติงต่างๆของนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอทีและไซเบอร์ นักสิทธิมนุษยชน องค์กรภาคประชาชนและภาคธุรกิจมาปรับแก้เนื้อหากฎหมายที่เป็นร่างเดิมที่มีกระแสต่อต้านในช่วงเดือนตุลาคมน้อยมาก 
          ประเด็นที่สอง ด้วยเนื้อหาของกฎหมายฉบับนี้จะก่อให้เกิดอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและเนื้อหาบางส่วนอาจขัดขวางต่อการขยายตัวเติบโตของเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม
          ประเด็นที่สาม กรณีที่มีการใช้อำนาจในการยึดครองทรัพย์สินทางด้านไอที (มือถือ คอมพิวเตอร์ ระบบ Server ระบบปฏิบัติการทางด้านคอมพิวเตอร์และไอที) ของประชาชนและเอกชน ต้องมีระบบและกลไก ขั้นตอนในการกลั่นกรองเพื่อไม่ให้เกิดการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมและผู้มีอำนาจรัฐใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์จากประชาชนและภาคเอกชนโดยทุจริต หากเกิดกรณีที่ต้องใช้อำนาจอย่างฉับพลันเพื่อประโยชน์สาธารณะและเพื่อความมั่นคงต่อระบบเศรษฐกิจ ระบบการเงิน ระบบการเมืองของประเทศ ต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ต้องมีการให้คำนิยามของคำว่า "เหตุจำเป็น" และ "เหตุวิกฤติร้ายแรง" ให้ชัดเจน ต้องเป็นกรณีที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างของระบบไซเบอร์ ไม่ใช่ประเด็นที่เกี่ยวกับเนื้อหาซึ่งมี พรบ คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่ดูแลอยู่แล้ว เนื้อหากฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ที่ผ่าน สนช นั้นได้มีการแก้ไขโดยให้ศาลเข้ามาตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจมากขึ้นแต่ก็ยังเปิดช่องให้ไม่ต้องขอหมายศาลในกรณีเร่งด่วนหรือวิกฤติร้ายแรงซึ่งต้องนิยามให้ชัดเจน 
          ประเด็นที่สี่ การเปิดโอกาสและช่องทางในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนได้โดยไม่มีการกำกับตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีพอ อำนาจของเลขา กปช ใน มาตรา 46, 47, 48, 54, 55, 56, 57 มีความอ่อนไหวสูงต่อการใช้อำนาจรัฐละเมิดสิทธิประชาชนหรือองค์กรหรือกิจการธุรกิจต่างๆ และอำนาจบางอย่างที่ระบุไว้ในกฎหมายต้องผ่านคำสั่งศาลเพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิพื้นฐานของประชาชนและองค์กรต่างๆรวมทั้งเกิดช่องทางหาผลประโยชน์ในทางที่มิชอบโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายและเกิดการทับซ้อนทางผลประโยชน์ได้ ควรมีการใช้อำนาจดุลยพินิจของเลขาธิการ กปช และ เจ้าหน้าที่ให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ในมาตรา 66 ยังเปิดช่องให้สภาความมั่นคงเข้ามารักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์หากมีภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับวิกฤต
          ประเด็นที่ห้า โครงสร้างของคณะกรรมการ NCSC ควรเพิ่มเติมกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิมืออาชีพที่เป็นกรรมการอิสระเพิ่มเติม มีผู้แทนจากองค์กรทางด้านสิทธิมนุษยชนและองค์กรภาคธุรกิจด้วย และ กรรมการเหล่านี้ควรมีจำนวนไม่น้อยกว่า กรรมการจากฝ่ายการเมืองและฝ่ายข้าราชการประจำ 
          ประเด็นที่หก ทรัพย์สินสารสนเทศในมาตราสาม ครอบคลุมอุปกรณ์และทรัพย์สินส่วนบุคคลของประชาชนและองค์กรต่างๆ เช่น มือถือ อุปกรณ์สื่อสารส่วนบุคคล Internet of Thing ด้วยจึงอาจก่อให้เกิดการจำกัดเสรีภาพและละเมิดสิทธิอย่างกว้างขวางได้หากผู้ใช้อำนาจไม่คำนึงถึงหลักการประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน 
          ประเด็นที่เจ็ด ในมาตรา 58 ระบุว่า "ในกรณีที่ มีเหตุอันควรสงสัยสามารถเข้าถึง ทำสำเนา สกัดกรองข้อมูลสารสนเทศ รวมทั้งสามารถยึดคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ใดๆได้ไม่เกิน 30 วัน กระบวนการนี้จึงเป็นกระบวนการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐอาจดำเนินการไปก่อนแล้วค่อยรายงานต่อศาลได้ภายหลัง ทำให้เป็นช่องว่างของการใช้อำนาจในทางไม่ชอบธรรมได้ และ หากเกิดความเสียหายแล้ว ต้องมีการกำหนดด้วยว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไรในการชดเชยความเสียหายต่อประชาชนและภาคธุรกิจ การใช้อำนาจตามมาตรา 57 และ มาตรา 58 อาจเข้าข่ายในการละเมิดสิทธิประชาชนจำเป็นต้องมีการทบทวน และต้องพิจารณาทบทวนอำนาจในการเข้าถึงทรัพย์สินสารสนเทศ ทำสำเนาหรือสกัดคัดกรองข้อมูลสารสนเทศหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ และให้สำนักงาน กปช ต้องรับผิดชอบความเสียหายหากมีข้อมูลรั่วไหลและนำไปใช้อย่างไม่ถูกต้อง 
          นอกจากนี้ ในมาตรา 64 การรับผิดชอบควรเกิดขึ้นเมื่อมีการฝ่าฝืนกฎหมายโดยไม่มีเหตุอันควร และ ต้องให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดโอกาสในการกลั่นแกล้งกัน เพื่อให้กฎหมายเป็นไปตามหลักนิติธรรม
          ประเด็นที่แปด มีปัญหาเรื่องความขัดแย้งทางผลประโยชน์ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ หรือ CSA มีอำนาจถือหุ้น ร่วมทุน จึงมีสถานะทั้งเป็น operator และ regulator ทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ หรือ Conflict of Interest ได้ การรวบอำนาจไว้ที่หน่วยงานเดียว จึงขาดการตรวจสอบถ่วงดุล 
          ประเด็นที่เก้า ควรกำหนดความมั่นคงระบบไซเบอร์เพื่อให้เกิดการส่งเสริมระบบเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy), ระบบ Machine Learning และ Algorithm, ระบบ Big Data การกำหนดหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศในกฎหมายไม่ครอบคลุมเพียงพอ ไม่ครอบคลุม Critical Infrastructure สำคัญ ควรมีการระบุผลกระทบและเกณฑ์ขนาดของหน่วยงานเพื่อไม่ไปสร้างภาระทางการลงทุนทางด้าน ITให้กับหน่วยงานขนาดเล็กที่ไม่มีความพร้อมหรือไม่มีศักยภาพเพียงพอ 
          ผศ. ดร. อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต ได้กล่าวเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ต้องเขียนนิยาม ภัยคุมคามทางด้านไซเบอร์และความมั่นคงปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ให้มีความชัดเจน การให้อำนาจในการค้นสถานที่ ยึดเครื่องมือสื่อสาร โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องขออำนาจศาลโดยอ้างความจำเป็นหรือกรณีวิกฤติซึ่งยังไม่นิยามให้ชัดเจน เป็นการให้อำนาจกับหน่วยงานทางด้านความมั่นคงไซเบอร์มากเกินไปอาจก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิอย่างกว้างขวางได้ ต้องทบทวนอำนาจดังกล่าว เนื้อหาของกฎหมายต้องสอดคล้องและตอบสนองต่อพลวัตของเทคโนโลยีใหม่ๆ ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Cyber security ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรฐานสากล หลักการประเมินความเสี่ยงเรื่อง Cyber security ต้องเป็นไปตามหลัก
มาตรฐานสากล ไม่ก่อให้เกิดอุปสรรคต่อการดำเนินชีวิตและการดำเนินธุรกิจ 
          พระราชบัญญัติความมั่นคงทางไซเบอร์จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและมีเนื้อหาหลายส่วนอาจขัดขวางต่อการพัฒนาเศรษฐกิจฐานนวัตกรรม นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบสิทธิเสรีภาพของ
          ประชาชนและการดำเนินการของภาคธุรกิจอีกด้วย กฎหมายนี้แม้นจะมีความจำเป็นในการสร้างระบบความมั่นคงทางด้านไซเบอร์แต่กระบวนการในการร่างกฎหมายต้องให้เกิดการมีส่วนร่วมและต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยรวมทั้งต้องสอดคล้องพลวัตของระบบสังคมและเศรษฐกิจในอนาคตที่ระบบเศรษฐกิจมีการเคลื่อนตัวสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้นตามลำดับ การมีกฎหมายที่กำลังบังคับใช้ใหม่แต่อยู่บนฐานคิดที่ล้าหลัง อยู่ภายใต้กรอบคิดความมั่นคงแบบเก่าๆและไม่เป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องอ่อนไหวต่อสังคม ต่อระบบการดำเนินธุรกิจและระบบเศรษฐกิจ กฎหมายอาจจะนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างกว้างขวางและไม่สอดคล้องกับโลกในปัจจุบันและอนาคต การมีกฎหมายหรือผู้ออกกฎหมายที่มุ่งไปที่มิติความมั่นคงมากเกินไปโดยไม่สนมิติทางเศรษฐกิจ มิติทางสังคม มิติทางด้านสิทธิมนุษยชนและสิทธิส่วนบุคคลเป็นเรื่องที่น่าห่วงใยอย่างยิ่งต่อสังคมไทยในอนาคต หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีลักษณะอำนาจนิยมไม่ยึดหลักการประชาธิปไตยย่อมทำให้เกิดสภาวะ Big Brother มีการสอดส่องพฤติกรรมต่างๆของประชาชน ธุรกิจเอกชนทางออนไลน์ เป็นอุปสรรคต่อความคิดสร้างสรรค์ที่เป็นผลบวกต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรม กระทบความเชื่อมั่นต่อนักธุรกิจและนักลงทุนได้ เพราะกฎหมายความมั่นคงไซเบอร์ได้ให้อำนาจในการล้วงข้อมูล ดักฟังและเจาะฐานข้อมูลไซเบอร์หรือบอกให้ผู้ให้บริการเครือข่ายส่งข้อมูลต่างๆให้รัฐได้
          หากรีบประกาศใช้โดยไม่ทบทวนเนื้อหา กระทบภาคการลงทุนและความเชื่อมั่นนักลงทุน แน่นอน ไม่ควรมีการบังคับใช้กฎหมายจนกว่าจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง อาจถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างไม่เป็นธรรมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองได้ เราได้เห็นตัวอย่างการบังคับใช้กฎหมาย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์กลั่นแกล้งฝ่ายตรงกันข้ามโดยอ้างมาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา เสนอควรเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจตามกฎหมายโดยศาลเพิ่มเติม

ข่าวมหาวิทยาลัยรังสิต+เศรษฐกิจดิจิทัลวันนี้

SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ

SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) ในฐานะสถาบันวิจัยด้านนโยบายระดับภูมิภาค ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเวทีเสวนาเชิงลึก เพื่อหารือและสำรวจแนวทางการสนับสนุนนวัตกรรม การลงทุน และการประกอบธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดย SEAPPI ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "การกำหนดทิศทางกรอบกำกับ

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดก... นักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีคว้าเหรียญทอง การแข่งขันฝีมือแรงงานแห่งชาติ ครั้งที่ 30 ระดับประเทศ — กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดการแข่งขันฝีมือแรงง...

คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ... คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ้าภาพจัดงาน "กีฬา 3 วิภา" — คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ้าภาพจัดงาน "กีฬา 3 วิภา" โดยมีวัตถุประสงค์เ...

40 ปีอลังการ : มหาวิทยาลัยรังสิต นำโดย ดร... งาน "40th Anniversary Of Rangsit University" ฉลองครบรอบ 40 ปี มหาวิทยาลัยรังสิตสุดยิ่งใหญ่ — 40 ปีอลังการ : มหาวิทยาลัยรังสิต นำโดย ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ อ...