SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ

SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ

Southeast Asia Public Policy Institute (SEAPPI) ในฐานะสถาบันวิจัยด้านนโยบายระดับภูมิภาค ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต จัดเวทีเสวนาเชิงลึก เพื่อหารือและสำรวจแนวทางการสนับสนุนนวัตกรรม การลงทุน และการประกอบธุรกิจภายใต้กรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย โดย SEAPPI ได้เผยแพร่ผลการศึกษาเรื่อง "การกำหนดทิศทางกรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยอย่างสมดุล[1]" ซึ่งวิเคราะห์ผลกระทบของแนวทางการกำกับดูแลที่อาจเปลี่ยนไปต่อความสามารถในการแข่งขันและการเติบโตของผู้ประกอบการไทย SEAPPI ชี้ "กรอบกำกับเศรษฐกิจดิจิทัลของไทย" อาจกระทบรายได้ SMEs กว่า 12,000 ล้านบาทต่อปี เพิ่มต้นทุน ลดการลงทุน และชะลอการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตรวดเร็วที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้[3] ภาคบริการดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการค้า การชำระเงิน และโลจิสติกส์ กลุ่ม SMEs ในไทยก็พึ่งพาช่องทางออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าและดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ ปัจจุบันเศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนราว 6% ของ GDP ในปี 2566 และคาดว่าจะขยายตัวเป็น 11% ภายในปี 2570[4] โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญ ได้แก่ การเข้าถึงตลาดที่เปิดกว้าง การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่างแพร่หลาย และอุปสรรคต่อการเริ่มต้นธุรกิจต่ำ ส่งผลให้ธุรกิจขนาดเล็ก รวมถึงผู้ประกอบการรายย่อย สามารถมีส่วนร่วมในเศรษฐกิจระดับประเทศ ภูมิภาค ไปจนถึงระดับโลกได้

จากการวิเคราะห์กรณีศึกษาและประสบการณ์ในต่างประเทศพบว่า แนวทางของสหภาพยุโรปภายใต้กฎระเบียบด้านการตลาดดิจิทัล (Digital Markets Act: DMA) ส่งผลให้เกิดภาระต้นทุนด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่สูง และนำมาซึ่งการชะลอการเปิดตัวของฟีเจอร์ใหม่ และส่งผลกระทบต่อการพัฒนานวัตกรรมในยุโรป ในขณะที่ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เลือกใช้แนวทางกำกับดูแลที่ยืดหยุ่น ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและการปรับปรุงเฉพาะเจาะจง ลดความเสี่ยงด้านการแข่งขัน ผลการศึกษาระบุว่า กฎระเบียบที่เข้มงวดและการกำกับดูแลเชิงป้องกัน (ex-ante) ของสหภาพยุโรปอาจนำมาซึ่งการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่ตอบสนองต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการปรับปรุงบริการ ลดการเติบโตในภาคส่วนที่พึ่งพาการค้าแพลตฟอร์มดิจิทัล หายไทยนำแนวทางของสหภาพยุโรปมาใช้อาจทำให้นวัตกรรมและการลงทุนในไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่ใช้แนวทางการกำกับดูแลที่มีความเข้มงวดน้อยกว่า

ดร.กฤษฎา แสงเจริญทรัพย์ ผู้อำนวยการหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงความสำคัญของการออกแบบกฎระเบียบที่เหมาะสมกับบริบทของไทยว่า "แพลตฟอร์มดิจิทัลมีบทบาทสำคัญในการสร้างโอกาสให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคชาวไทย คำถามที่สำคัญ คือการกำหนดแนวทางกำกับดูแลที่ส่งเสริมความเป็นธรรม และยังสามารถสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรมและสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำธุรกิจ ประเทศไทยไม่ควรต้องเลือกระหว่างนวัตกรรมหรือการส่งเสริมความเป็นธรรม ประเทศไทยสามารถบรรลุทั้งสองเป้าหมายนี้ไปพร้อมๆ กันได้ ผ่านการออกแบบกฎระเบียบที่มีพื้นฐานความเข้าใจทางเทคนิค มีความสมดุล และสอดคล้องกับสภาพตลาดจริง มากกว่าการนำแนวทางจากต่างประเทศมาใช้โดยตรงโดยไม่ปรับให้เข้าถึงบริบทของไทย"

นายเอ็ดเวิร์ด แรตคลิฟฟ์ กรรมการบริหาร SEAPPI เสริมว่า "ความชัดเจนและความสมดุลของกฎระเบียบจะกำหนดขีดความสามารถทางการแข่งขันระยะยาวของประเทศไทย เศรษฐกิจดิจิทัลของไทยนั้นเติบโตมาโดยตลอดเพราะมีความเปิดกว้าง มีการแข่งขันสูง และขับเคลื่อนโดยผู้ประกอบการโดยตรง ประเทศไทยจะสามารถรักษาความเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคนี้ได้ต่อไป หรือจะเสี่ยงพบการชะลอการเติบโตและอุปสรรคที่เพิ่มขึ้นในการเข้าถึงตลาดดิจิทัลนั้น ขึ้นอยู่กับการพัฒนากฎระเบียบที่เน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง และเอื้อต่อการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความโปร่งใสโดยไม่จำกัดขีดความสามารถของธุรกิจไทย"

ผลการศึกษาของ SEAPPI เสนอให้ภาครัฐใช้กรอบการกำกับดูแลที่ยึดหลักการด้านความโปร่งใสและเน้นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริง โดยควรมีการแทรกแซงเฉพาะเมื่อมีความเสียหายที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจน การออกกฎระเบียบใหม่นี้ยังควรเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคอุตสาหกรรม และควรเสริมสร้างกลไกความร่วมมือและการประสานงานระหว่างหน่วยงานรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดความซ้ำซ้อนและสร้างความสม่ำเสมอในการบังคับใช้กฎระเบียบทั้งหมด ทั้งนี้เพื่อช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของ SMEs ที่พึ่งพาแพลตฟอร์มดิจิทัล ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนานวัตกรรม เพื่อให้ประเทศไทยยังคงเป็นเป้าหมายการลงทุนที่สำคัญต่อไป

รายงานยังชี้อีกว่า หากไทยสามารถพัฒนากรอบการกำกับดูแลทีเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ไทยจะสามารถก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในประเทศต้นแบบของภูมิภาคในการออกแบบกฎระเบียบดิจิทัลที่เป็นมิตรและทันสมัย


ข่าวมหาวิทยาลัยรังสิต+เศรษฐกิจดิจิทัลวันนี้

กรมทรัพย์สินทางปัญญา เดินหน้าโรดแมป "IP 4 All" หนุน ม.รังสิต ติดอาวุธ IP สร้างนวัตกรรมตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ ดันงานวิจัยจากหิ้งสู่ห้าง และบริหารจัดการสิทธิ IP อย่างเป็นระบบ

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้การต้อนรับ ดร.พิชยพันธุ์ ชาญภูมิดล รองอธิการบดีฝ่ายการต่างประเทศ มหาวิทยาลัยรังสิต พร้อมคณะ ในโอกาสเข้าพบหารือแนวทางส่งเสริมการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา (IP) และต่อยอดเชิงพาณิชย์ โดยสนับสนุนให้บุคลากรและนักศึกษาใช้ประโยชน์จากบทวิเคราะห์แนวโน้มสิทธิบัตรและเทรนด์เทคโนโลยีแห่งอนาคตที่กรมจัดทำขึ้น เพื่อยกระดับผลงานสร้างสรรค์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างยั่งยืน นางอรมน

กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดก... นักศึกษาวิทยาลัยดุสิตธานีคว้าเหรียญทอง การแข่งขันฝีมือแรงงานแห่งชาติ ครั้งที่ 30 ระดับประเทศ — กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน ได้จัดการแข่งขันฝีมือแรงง...

คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ... คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ้าภาพจัดงาน "กีฬา 3 วิภา" — คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เจ้าภาพจัดงาน "กีฬา 3 วิภา" โดยมีวัตถุประสงค์เ...

40 ปีอลังการ : มหาวิทยาลัยรังสิต นำโดย ดร... งาน "40th Anniversary Of Rangsit University" ฉลองครบรอบ 40 ปี มหาวิทยาลัยรังสิตสุดยิ่งใหญ่ — 40 ปีอลังการ : มหาวิทยาลัยรังสิต นำโดย ดร.อรรถวิท อุไรรัตน์ อ...