โรช เผยรายงาน "ผลกระทบและโอกาส: การลงทุนและการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็น ผ่านการส่งเสริมด้านทุนจากภาครัฐ และออกนโยบายที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็งของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก"

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

ท่ามกลางอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก มะเร็งที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงอย่างมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกกำลังเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากที่สุด ทั้งที่ปัจจุบันการเข้าถึงการตรวจวินิจฉัย และการรักษามีความก้าวล้ำไปอย่างมาก แต่เหตุใดยังมีผู้หญิงที่ยังเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเหล่านี้ ในปี 2020 มีผู้ป่วยด้วยมะเร็งเต้านมสูงขึ้นอันดับหนึ่งแซงหน้ามะเร็งปอด ขณะที่มะเร็งปากมดลูกมีอัตราการเสียชีวิตสูงสุดเป็นอันดับสอง องค์การอนามัยโลก (WHO) จึงได้กำหนด 2 กลยุทธ์ระดับโลก Global Breast Cancer Initiative ซึ่งตั้งเป้าที่จะลดอัตราการเสียชีวิตของมะเร็งเต้านมลง 2.5% ต่อปี ภายในปี 2040 และกลยุทธ์ทั่วโลกสำหรับการกำจัดมะเร็งปากมดลูกผ่านเป้าหมาย 3 ประการภายในปี 2030 คือ ฉีดวัคซีน HPV 90% การตรวจคัดกรอง 70% และการรักษา 90%

โรช เผยรายงาน "ผลกระทบและโอกาส: การลงทุนและการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็น ผ่านการส่งเสริมด้านทุนจากภาครัฐ และออกนโยบายที่เน้นผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง เพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็งของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก"

ทั้งนี้ เพื่อช่วยให้ประเทศต่างๆ ทราบข้อมูลเจาะลึกเกี่ยวกับภาระ เส้นทางการดูแลรักษา และสภาพแวดล้อมเชิงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก Economist Impact จึงได้เปิดตัว ไวท์เปเปอร์ (White Paper) ฉบับใหม่ ซึ่งจัดทำโดย Asia-Pacific Women's Cancer Coalition (APAC WCC) โดยการสนับสนุนจากบริษัท Roche (โรช) ในหัวข้อ "Impact and opportunity: the case for investing in women's cancers in Asia Pacific" (ผลกระทบและโอกาส: การลงทุนและการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็น เพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็งของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก) เป็นการศึกษาใน 6 ประเทศใน APAC ได้แก่ ไทย อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

รายงานระบุว่า ในเอเชียมีผู้หญิงที่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านม 45% จากจำนวนผู้ป่วยหญิงทั่วโลก 2.3 ล้านราย ขณะเดียวกัน มีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก 58% ในเอเชีย ซึ่งอัตราการเสียชีวิตด้วยมะเร็งเต้านมยังเพิ่มขึ้นในทุกประเทศของภูมิภาค อุบัติการณ์ของมะเร็งเต้านมในเอเชียคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 20.9% ระหว่างปี 2029 ถึง 2030 และมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 27.8% ขณะที่อุบัติการณ์ของมะเร็งปากมดลูกคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 18.9% และอัตราการเสียชีวิต 24.9% ที่สำคัญคือ ผู้หญิงในประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลางมีผลลัพธ์ที่ไม่ดีในเรื่องมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก เนื่องมาจากความตระหนักรู้น้อย และการขาดการเข้าถึงบริการตรวจคัดกรอง การตรวจวินิจฉัย การรักษา และการดูแลที่มีคุณภาพและทันท่วงที

เมื่อเร็วๆ นี้ นักวิชาการและผู้ที่ขับเคลื่อนเรื่องโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก ได้รวมตัวในงานสัมมนาในหัวข้อ "Empower Her: Advancing Women's Cancer Care in Asia Pacific" โดย อาเหม็ด เอลฮุสไซนี Area Head โรช ฟาร์มาซูติคอล เอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกเป็นความเสี่ยงด้านสุขภาพที่ผู้หญิงในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ต้องเผชิญโดยไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยเหตุนี้ APAC WCC ในฐานะผู้ที่มีความมุ่งมั่นแก้ไขปัญหานี้ จึงได้ริเริ่มทำไวท์เปเปอร์ฉบับนี้เพื่อระบุแนวทางที่ชัดเจนในการจัดการกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก

"ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ประเทศต่าง ๆ จะต้องจัดลำดับความสำคัญด้านสุขภาพของผู้หญิง ด้วยการเสริมสร้างนโยบายทางการเมือง จัดทำแผนและมาตรการที่แข็งแกร่ง ส่งเสริมการคัดกรองและป้องกัน และปรับปรุงการเข้าถึงการดูแลรักษาให้เท่าเทียมกัน นอกจากนั้น ต้องมีการทำงานร่วมกันเพื่อสร้างขีดความสามารถและเงินทุน ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ และให้ความสำคัญกับผู้ป่วยเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อบรรลุเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก"

ผลกระทบจากโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกไม่เพียงส่งผลต่อผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงครอบครัว และสังคมในวงกว้างด้วย ดังนั้น การให้เงินทุนสำหรับโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก ถือว่าเป็นภาระและค่าใช้จ่ายที่สำคัญสำหรับรัฐบาล เนื่องจากเงินทุนเกี่ยวกับเรื่องนี้ใน 6 ประเทศยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก

ดร. โซเมช กุมาร์ ผู้อำนวยการประจำประเทศของ Jhpiego อินเดีย และผู้อำนวยการผู้อาวุโสฝ่ายความเป็นผู้นำด้านเทคนิคและนวัตกรรม ของ Jhpiego, MD/US กล่าวว่า "มะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกมีความท้าทายหลายมิติ ทั้งด้านระบบสุขภาพและสังคม การให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้จากทั้งภาครัฐและเอกชน ตลอดจนความพร้อมของเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้การตรวจคัดกรองมะเร็งในสตรีเกิดขึ้นได้เร็วและเท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะช่วยยกระดับความพยายามในการป้องกันมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดในภูมิภาคเอเชียไปสู่อีกระดับหนึ่ง"

แม้ปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าในเทคโนโลยีการรักษาที่น่าทึ่ง แต่กลับพบว่าผู้ป่วยบางรายกลับมาเป็นซ้ำอีกในระยะยาว ซึ่งเป็นเหตุผลว่าที่จะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลมะเร็งเต้านมตั้งแต่เนิ่น ๆ และเพิ่มการดำเนินการให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะลุกลาม ระยะที่รักษาไม่หาย ซึ่งจะยิ่งส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางการรักษาทั้งทางตรง และทางอ้อม โดยรายงาน Impact and opportunity: the case for investing in women's cancers in Asia Pacific (ผลกระทบและโอกาส: การลงทุนและการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็น เพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็งของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก) ได้ระบุขั้นตอนสำคัญหลายประการ เพื่อช่วยให้ประเทศต่าง ๆ บรรลุเป้าหมายมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมของ WHO ดังนี้

  1. แต่ละประเทศต้องแสดงและมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน
  2. ปรับปรุงการติดตาม การสร้างภูมิคุ้มกัน การคัดกรอง และการลงทะเบียนผลลัพธ์ของผู้ป่วย
  3. มุ่งเน้นไปที่การป้องกันเบื้องต้น โดยทำโปรแกรมสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน HPV สำหรับมะเร็งปากมดลูก และโปรแกรมตรวจคัดกรองทั้งมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านมระดับชาติ
  4. มีเส้นทางการส่งต่อและการรักษาผู้ป่วยที่ชัดเจน
  5. ส่งเสริมให้มะเร็งของผู้หญิงเป็นนโยบายสำคัญ ในด้านการสร้างภูมิคุ้มกัน การตรวจคัดกรอง และการรักษา
  6. รัฐบาลและหน่วยงานที่ให้ทุนระดับโลกควรคิดค้นและดำเนินการรูปแบบการให้ทุนที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน
  7. ให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง และปรับบริการและโปรแกรมต่าง ๆ ให้เหมาะกับความต้องการของประชากรที่ได้รับ ผลกระทบในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
  8. บูรณาการแบบองค์รวมสำหรับการจัดการกับทรัพยากรและความท้าทายด้านขีดความสามารถ

แลนซ์ ลิตเติ้ล กรรมการผู้จัดการ โรช ไดแอกโนสติกส์ เอเชีย แปซิฟิก กล่าวเสริมว่า ความจำเป็นในภาระ ค่าใช้จ่าย และการดำเนินการเพื่อรับมือกับแนวโน้มที่น่าตกใจของโรคมะเร็งในสตรีนั้นปรากฏชัดเจนในรายงาน Impact and opportunity: the case for investing in women's cancers in Asia Pacific (ผลกระทบและโอกาส: การลงทุนและการดำเนินการเร่งด่วนที่จำเป็น เพื่อลดอัตราการเกิดมะเร็งของผู้หญิงในเอเชียแปซิฟิก)

"การร่วมมือกันระหว่างพันธมิตรในระบบนิเวศด้านการดูแลสุขภาพจะช่วยลดช่องว่างและประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก และสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อผู้หญิงหลายแสนคนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็ง และโรชจะยังคงเดินหน้าช่วยปกป้องผู้หญิงจากภัยคุกคามของโรคมะเร็งในปีต่อ ๆ ไป"


ข่าวองค์การอนามัยโลก+องค์การอนามัยโลวันนี้

โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน "ฆาตกรเงียบ" ที่คร่าชีวิตโดยไม่มีสัญญาณเตือน รู้ทันก่อนสายเกินไป

"โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน" หรือ Coronary Artery Disease คือโรคที่ถูกขนานนามว่า "ฆาตกรเงียบ" เพราะสามารถพรากชีวิตคนคนหนึ่งไปได้อย่างไม่ทันตั้งตัว แม้ผู้ป่วยจะเคยผ่านการรักษาอย่างจริงจังมาแล้วในอดีตก็ตาม โดยข้อมูลจากสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ ระบุว่า คนไทยเสียชีวิตจากโรคหัวใจเฉลี่ยปีละกว่า 20,000 ราย หรือคิดเป็น 2 รายต่อชั่วโมง ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดคือสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของโลก และในประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคหัวใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 4-5 แสนราย "

ปัจจุบันปัญหาการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป... ผงปรุงรสจากพืชพื้นบ้าน: นวัตกรรมทางเลือกเพื่อสุขภาพและความยั่งยืนของชุมชน — ปัจจุบันปัญหาการบริโภคโซเดียมเกินความจำเป็นเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ส่งผ...

การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ห่วงใยประชาชนพ... กปภ. ตรวจเข้มคุมคุณภาพน้ำ 24 ชั่วโมงย้ำ ! น้ำประปาเชียงรายสะอาด ปลอดภัย มั่นใจได้ — การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ห่วงใยประชาชนพื้นที่จังหวัดเชียงราย กำชับ ก...

บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) ... โนโว นอร์ดิสค์ จัดงานแถลงข่าวมุ่งเน้นประโยชน์สำหรับคนไข้ที่มากกว่าการลดน้ำหนัก — บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด หรือ "โนโว นอร์ดิสค์" จัดง...

องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ทุกวันที่ ... GSK ร่วมรณรงค์ "สัปดาห์การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโลก 2025" ชูการป้องกันโรคสำหรับทุกวัย — องค์การอนามัยโลก (WHO) กำหนดให้ทุกวันที่ 24-30 เมษายนของทุกปีถือเป็...