DDD เผยรายได้จากขายในไตรมาส 3 เฉียด 400 ล้านบาท พร้อมลุยขยายตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์หนุนรายได้ไตรมาสสุดท้าย

17 Nov 2023

บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปาก อุปกรณ์ตกแต่งทรงผม อุปกรณ์เสริมความงาม ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เครื่องครัว รวมไปถึงสินค้าไลฟ์สไตล์ แบรนด์ดัง อาทิ SNAILWHITE, NAMU LIFE, OXE'CURE, SPARKLE, LESASHA, JASON, EMJOI, BEAR, iLIFE, @HOME และแบรนด์น้องใหม่ล่าสุด MAKAVALIC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ด้วยรายได้จากการขายมูลค่า 382 ล้านบาท โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเติบโตได้ดีในอัตราร้อยละ 6.85 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน พร้อมลุยขยายตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ หนุนรายได้ช่วงที่เหลือของปี 2566

DDD เผยรายได้จากขายในไตรมาส 3 เฉียด 400 ล้านบาท พร้อมลุยขยายตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์หนุนรายได้ไตรมาสสุดท้าย

นางสาวนันทวรรณ สุวรรณเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) หรือ DDD กล่าวรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2566 ว่า "บริษัทฯ มีรายได้จากการขายที่ 382 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.80 จากไตรมาสก่อนที่มีรายได้จากการขายที่ 375 ล้านบาท จากปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ช้ากว่าคาดการณ์ โดยผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเติบโตได้ดีในอัตราร้อยละ 6.85 จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยทางบริษัทฯ เพิ่มการขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางอื่น ครอบคลุมไปถึงช่องทางออนไลน์ งานแสดงและจัดจำหน่ายสินค้า สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวยังมีการเติบโตได้ดีในอัตราร้อยละ 7.39 จากการขยายตลาดไปสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และกลุ่มเอเชียตะวันออกเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ต้นทุนสินค้าขายสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 มีมูลค่า 138 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 36.12 ของรายได้จากการขาย โดยเพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 2.40 point เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565 ที่มีต้นทุนสินค้าและบริการ 133 ล้านบาท หรือร้อยละ 33.72 ของรายได้จากการขาย จากภาวะการแข่งขันในตลาดที่เพิ่มสูงขึ้นและการลดลงของรายได้จากการขายส่งผลให้ต้นทุนต่อหน่วยผลิตปรับเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทฯ คงมาตรการคุมเข้มด้านต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตเพื่อลดผลกระทบดังกล่าว

ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารสำหรับไตรมาส 3 ปี 2566 มีมูลค่า 240 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 62.91 ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ร้อยละ 3.45 point เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2565 ที่มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 234 ล้านบาท หรือร้อยละ 59.46 ของรายได้จากการขาย โดยเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวเนื่องกับการเปิดตัวแบรนด์สินค้าใหม่ ทั้งนี้ บริษัทฯ คงนโยบายควบคุมค่าใช้จ่ายตามแผน Synergy Roadmap ภายในกลุ่มบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านคลังสินค้าและค่าใช้จ่ายด้านการขายเพื่อลดความซ้ำซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานภายในกลุ่มของบริษัทอย่างต่อเนื่อง

สำหรับด้านการลงทุน บริษัทฯ ยังคงระมัดระวังการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงิน มุ่งเน้นนโยบายการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative) ที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้อื่นจากการลงทุนหลังการรับรู้การตีมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิมูลค่า -15.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.73 จากไตรมาสก่อนที่มีมีรายได้อื่นจากการลงทุนหลังการรับรู้การตีมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินสุทธิมูลค่า -18.98 ล้านบาท อันเนื่องมาจากสถานการณ์สงครามการค้าและสงครามระหว่างประเทศที่ยังไม่มีแนวโน้มจะยุติลงในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้เศรษฐกิจและตลาดการลงทุนชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ

จากปัจจัยข้างต้น บริษัทฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงาน (Net Profit from Operating Performance) ในไตรมาส 3 ปี 2566 มูลค่า -19.19 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ -5 ของรายได้จากการขาย

สำหรับแนวโน้มการดำเนินงานธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2566 ที่เป็นช่วงไฮซีชั่นของการท่องเที่ยว บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์และแบรนด์สินค้าใหม่ครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์เสริมความงามและไลฟ์สไตล์อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการเปิดตัว "MAKAVELIC" (มาคาเวลิค) แบรนด์กระเป๋า Luxury Street Fashion ชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่น ไปเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมาพร้อมกระแสตอบรับล้นหลามจากผู้บริโภค พร้อมเดินหน้ารุกขยายช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมไปถึงการจัดโครงการส่งเสริมการขาย ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจสุขภาพ ความงาม และไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน