การใช้กลิ่นบำบัดโรค กลิ่นหอม กับการบำบัดโรคต่างๆ มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร? อาจเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย แต่หากเรารู้จักกับการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เราก็จะพบกับความสัมพันธ์บางอย่างที่เชื่อมโยงและส่งผลถึงกัน เช่น จมูกของเราเป็นอวัยวะที่ไวต่อการรับรู้กลิ่นมาก และการรับกลิ่นนั้นก็ทำโดยระบบประสาทที่เชื่อมโยงกับสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ต่างๆ ทั้งความรู้สึกสุข ตื่นเต้น หดหู่ รวมไปถึงอารมณ์ทางเพศอีกด้วย กลิ่นจึงมีผลโดยตรงต่อสมองส่วนนี้
ไลฟ์เซ็นเตอร์บล็อก ชวนมารู้จัก ความสัมพันธ์ของกลิ่น และอารมณ์ กลิ่นบำบัดที่เหมาะมากสำหรับคนในยุคนี้ที่มีความเสี่ยงสูงต่ออาการป่วยด้วยปัญหาจากความเครียด ทั้งไมเกรน อาการวิตกกังวล ช่วงฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงก่อนมีประจำเดือน รวมถึงโรคยอดนิยม อาทิ ความดันโลหิตสูง อาการเกี่ยวกับลำไส้ระคายเคือง ผิวหนังอักเสบ อาการปวดจากการที่กล้ามเนื้อตึงเครียด และอาการที่เกี่ยวกับสภาพทางจิตใจ ทำให้สปาหลายๆ แห่งต่างนำเรื่องกลิ่นบำบัดไปใช้เพื่อสร้างความผ่อนคลายทั้งในด้านอารมณ์ และร่างกายให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการ
โดยทั่วไป การบำบัดด้วยกลิ่นหอมนั้น มักจะประกอบรวมกับการนวด โดยการนวดนั้นจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบำบัด เนื่องจากจะทำให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและระบบน้ำเหลือง รวมถึงผ่อนคลายอาการเจ็บปวดอีกด้วย การนวดยังจะช่วยให้ผู้บำบัดทราบว่ากล้ามเนื้อส่วนไหนตึง ส่วนไหนไวต่อความรู้สึก ซึ่งตัวผู้ถูกบำบัดเองมักจะไม่เคยทราบมาก่อน ปกติแล้ว การบำบัดด้วยกลิ่นในระยะเริ่มต้นอาจทำเป็นประจำสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เมื่อได้ทำการบำบัดแล้วสักระยะหนึ่ง ก็อาจลดความถี่ลงเหลือเพียงเดือนละหนึ่งถึงสองครั้ง
สำหรับในกรณีที่ไม่มีเวลาไปนวด เรายังคงสามารถใช้กลิ่นบำบัดได้เช่นกันค่ะ เพราะนอกจากการนวดแล้ว การการบำบัดโดยกลิ่นในระดับหนึ่งนั้น สามารถทำได้ง่ายๆ เช่น การหยดน้ำมันหอมลงอ่างอาบน้ำอุ่นๆ ก่อนลงไปแช่และสูดดมกลิ่นหอมในระหว่างการอาบน้ำ การใช้เครื่องพ่นไอน้ำปล่อยกลิ่นหอมในห้องที่เราอยู่ การหยดน้ำมันหอมน้อยๆลงบนผ้าเช็ดหน้า การประคบร้อน ประคบเย็นเพื่อบรรเทาอาการปวด หรือแม้แต่การหยดน้ำมันหอมชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ลงบนสำลีเพื่อทาผิวที่มีอาการบวมก็สามารถที่จะทำได้ด้วยตัวเอง
สำหรับผู้ที่เริ่มสนใจ อยากจะลองหากลิ่นหอมๆ มาช่วยผ่อนคลาย มาทำความรู้จักแต่ละกลิ่น มีคุณสมบัติที่โดดเด่นอะไรกันบ้าง…
- กลิ่นลาเวนเดอร์ ช่วยให้นอนหลับง่าย ปรับอารมณ์ และทำให้จิตใจสงบ
- กลิ่นตะไคร้หอม ช่วยบรรเทาอาการหวัด ปวดศีรษะ ลดไข้ และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
- กลิ่นเปปเปอร์มินต์ ช่วยให้สดชื่น แจ่มใส ปลอดโปร่ง กระตุ้นจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์
- กลิ่นเลมอน นอกจากทำให้สดชื่น สดใส แล้ว หากใช้นวด ก็จะช่วยในเรื่องการไหลเวียนของโลหิตอีกด้วย
- กลิ่นส้ม ช่วยเติมความสดชื่น ผ่อนคลาย และกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย
- กลิ่นโรสแมรี่ ทำให้สดชื่น สดใส และลดอาการของไมเกรน
- กลิ่นยูคาลิปตัส ช่วยให้หายใจโล่ง ปลอดโปร่ง และบรรเทาอาการอ่อนล้าที่สะสมมา
- กลิ่นมะลิ นอกจากความหอมละมุนแล้ว กลิ่นอ่อนๆ ของดอกมะลิ ยังจะช่วยเติมความสดชื่น สดใส ช่วยให้อารมณ์ดี กระตุ้นการมองโลกในด้านบวก รวมถึงมีผลต่ออารมณ์โรแมนติกอีกด้วย
โรคติดต่อที่ต้องระวังในหน้าฝน
เช็กด่วน! ผิวคุณกำลังส่งสัญญาณแก่ก่อนวัยหรือเปล่า
ทำไม? ปวดคอ ปวดไหล่ ไหล่ติด จึงมาเป็นแพ็กเก็จ
การเผาผลาญแคลอรี่หลังออกกำลังกายคืออะไร
อาหารเพื่อลดคลอเรสเตอรอล
กระดูกพรุน ตรวจเร็ว รักษาป้องกันได้
ซัมเมอร์นี้ มาอวดแผ่นหลังเนียนสวยไร้สิวกันดีกว่า
โรคเบาหวานไม่ใช่แค่น้ำตาลสูง แต่อันตรายกว่านั้น