สุขภาพของ "มดลูก" ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จของการตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการรักษาภาวะมีบุตรยาก เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรืออิ๊กซี่ (ICSI) ซึ่งแม้เทคโนโลยีทางการแพทย์จะก้าวหน้าเพียงใด แต่สภาพแวดล้อมภายในโพรงมดลูกยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ไม่อาจมองข้าม โดยมีรายงานวิจัยเปิดเผยว่า การมีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือ จุลินทรีย์ชนิดดี อย่าง Lactobacillus และ Bifidobacterium spp. มากกว่าหรือเท่ากับ 80% ในมดลูก มีความสัมพันธ์กับอัตราการฝังตัวอ่อนและการตั้งครรภ์ที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ครูก้อย - นัชชา ลอยชูศักดิ์ ครูวิทยาศาสตร์ผู้ก่อตั้งเพจให้ความรู้เตรียมตั้งครรภ์ BabyAndMom.co.th ยืนหนึ่งในใจผู้มีบุตรยาก เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ที่ครูก้อยสืบค้นงานวิจัยเกี่ยวกับภาวะเจริญพันธุ์เพื่อให้ความรู้เตรียมตั้งครรภ์กับผู้มีบุตรยากในเพจBabyAndMom.co.th ทำให้ครูก้อยได้ทราบถึงปัญหาที่ส่งผลต่อการมีบุตรยาก ว่ามีหนึ่งสาเหตุที่หลายคนอาจมองข้าม นั่นคือ เรื่องของจุลินทรีย์ในลำไส้ จุลินทรีย์ในช่องคลอด จุลินทรีย์ในรังไข่ และจุลินทรีย์ในมดลูก ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยใหม่ ๆ ออกมาค่อนข้างมาก เกี่ยวข้องกับจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกว่า โพรไบโอติกส์ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญ
โพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือ จุลินทรีย์ชนิดดี คือแบคทีเรียมีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในร่างกาย โดยพบได้ในระบบทางเดินอาหาร ช่องคลอด ผิวหนัง และเยื่อบุโพรงมดลูกของผู้หญิง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญในการฝังตัวของตัวอ่อนหลังการปฏิสนธิ โดยโพรไบโอติกส์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสมดุลของจุลินทรีย์ในมดลูก ซึ่งสมดุลนี้เป็นปัจจัยหลักที่ช่วยให้โพรงมดลูกมีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมก่อนการย้ายตัวอ่อนจากกระบวนการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรืออิ๊กซี่ (ICSI) การเสริมโพรไบโอติกส์ตั้งแต่ช่วงบำรุงไข่ไปจนถึงกระบวนการเตรียมผนังมดลูกก่อนย้ายตัวอ่อนจึงนับเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำคัญที่ช่วยเตรียมโพรงมดลูกให้พร้อมสำหรับการตั้งครรภ์
โดยการมีโพรไบโอติกส์ที่ไม่สมดุลในระบบสืบพันธุ์และลำไส้ ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันแย่ลง และเพิ่มค่าการอักเสบในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อโรคทางสูติศาสตร์และภาวะมีบุตรยาก เช่น การติดเชื้อในช่องคลอดเนื่องจากมีจุลินทรีย์ที่ไม่ดี มากขึ้น ทำให้ pH ในช่องคลอดไม่สมดุล ส่งผลต่อการตายของสเปิร์มและทำให้เกิดอัตราการปฏิสนธิที่ต่ำ นอกจากนี้ยังมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับโรคทางสูติศาสตร์อื่นๆ อีกมากมาย เช่น ท่อนำไข่อุดตัน การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน ทางเดินปัสสาวะ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทั้งหมดนี้เกิดจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในระบบสืบพันธุ์
ครูก้อย กล่าวเสริมว่า โพรไบโอติกส์สัมพันธ์กับการฝังตัวของตัวอ่อน จากการศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่อง Does dysbiotic endometrium affect blastocyst implantation in IVF patients. ที่ตีพิมพ์ใน วารสาร Journal of Assisted Reproduction and Genetics ปี2019
ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจุลินทรีย์ในเยื่อบุมดลูกกับผลลัพธ์ของการทำ IVF โดยวิเคราะห์อัตราการตั้งครรภ์ของผู้ที่มีภาวะจุลินทรีย์ในเยื่อบุมดูกอยู่ในสภาวะสมดุล (Eubiotic) เปรียบเทียบกับผู้ที่มีภาวะไม่สมดุล (Dysbiotic) ณ เวลาที่ย้ายตัวอ่อนแช่แข็งเข้าสู่โพรงมดลูก ทดสอบโดยกำหนดเยื่อบุมดลูกที่เป็น Eubiotic เมื่อมี Lactobacillus และ Bifidobacterium spp. มากกว่าหรือเท่ากับ 80% เพื่อเปรียบเทียบกับเยื่อบุมดลูกที่เป็น Dysbiotic เมื่อมีLactobacillus และBifidobacterium spp. น้อยกว่า 80% พร้อมกับแบคทีเรียชนิดอื่น มากกว่าหรือเท่ากับ 20%การศึกษาพบว่า อัตราการตั้งครรภ์จากการทำ IVF มีค่าสูงขึ้น ในเยื่อบุมดลูกของผู้หญิงที่มี Lactobacillus และ Bifidobacterium อยู่มากกว่าหรือเท่า 80% กล่าวคือสภาพที่จุลินทรีย์ในเยื่อบุมดลูกมีสมดุลดี (Eubiotic) สามารถช่วยเพิ่มอัตราการตั้งครรภ์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ครูก้อยกล่าวด้วยว่า โพรไบโอติกส์ (Probiotics) หรือ จุลินทรีย์ชนิดดี นอกจากจะมีส่วนช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ชนิดดีในมดลูกแล้ว มีส่วนช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันการติดเชื้อที่อาจรบกวนมดลูก ปรับความเป็นกรด-ด่างในช่องคลอดให้อยู่ในสมดุลที่เหมาะสมเพิ่มจุลินทรีย์ดีในมดลูก ช่วยให้โพรงมดลูกพร้อมรับตัวอ่อน ลดโอกาสเกิดภาวะลำไส้แปรปรวน ท้องผูก ท้องอืด ที่อาจเพิ่มแรงดันในมดลูกในช่วงใส่ตัวอ่อนสำหรับผู้หญิงที่ทำอิ๊กซี่ (ICSI) หรือ IVF และยังช่วยกระตุ้นการสร้างโฟเลตที่สำคัญต่อการพัฒนาตัวอ่อน ควบคุมน้ำตาลในเลือด เสริมสุขภาพโดยรวมของแม่อีกด้วย
นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาพบว่าความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอดสามารถก่อให้เกิดการอักเสบ และนำไปสู่ปัญหาทางสูติศาสตร์และภาวะมีบุตรยากได้ โดยอ้างอิงจากงานวิจัยเรื่อง Biological control of vaginosis to improve reproductive health ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Indian Journal of Medical Research, Supplement เดือนพฤศจิกายน ปี 2014 ศึกษาในผู้หญิงที่มีภาวะอักเสบของช่องคลอด พบว่ามีจำนวนแบคทีเรียแอนแอโรบส์ (Anaerobes) สูง ซึ่งเป็นกลุ่มแบคทีเรียที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบ การติดเชื้อในลักษณะนี้ไม่ได้เกิดจากแบคทีเรียชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ แต่เป็นผลจากความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในช่องคลอด ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางสูตินรีเวช เช่น ภาวะถุงน้ำคร่ำอักเสบ การคลอดก่อนกำหนด การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ และอาจนำไปสู่ภาวะมีบุตรยากได้
ดังนั้นผู้หญิงที่อยู่ระหว่างการเตรียมตั้งครรภ์ หรือเตรียมผนังมดลูกก่อนย้ายตัวอ่อนควรเลือกทานโพรไบโอติกส์ที่มีสายพันธุ์ Lactobacillus และ Bifidobacterium ซึ่งเป็นสายพันธุ์สำคัญที่อยู่ในมดลูก แนะนำควรเริ่มทานได้ตั้งแต่ช่วงบำรุงไข่ เพื่อที่จะช่วยปรับและรักษาสมดุลจุลินทรีย์ในมดลูกให้คงที่อยู่เสมอ หรือศึกษารายละเอียดเพิ่มเกี่ยวกับ Ferty Probiotics ที่ครูก้อยร่วมกับนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยคิดค้นผลิตภัณฑ์ขึ้นมา โดยคัดเลือกสายพันธุ์โพรไบโอติกส์ 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่ม Lactobacillus และ Bifidobacterium ทั้งหมด 9 สายพันธุ์ ได้ที่https://www.babyandmom.co.th/all-products/ferty-probiotics-by-krukoy และสามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโพรไบโอติกส์ที่ช่วยเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ได้ใน รายการ ResearchTalk Ep.20 เรื่อง งานวิจัยเผย โพรไบโอติกส์ มีส่วนช่วยส่งเสริมภาวะเจริญพันธุ์ ได้ที่ลิงค์ https://www.youtube.com/watch?v=NapTCqZRTzA
อย่างไรก็ตามนอกจากจะทานโพรไบโอติกส์แล้ว ต้องรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ปรับโภชนาการ เพิ่มโปรตีน ลดคาร์บ ทานกรดไขมันดี เสริมสารต้านอนุมูลอิสระ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะการเตรียมตัวที่ดี ปรับเปลี่ยนโภชนาการและปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เป็นการเตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่กระบวนการทางการแพทย์เพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จ
และติดตามความรู้เตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยากได้ที่
Facebook: https://www.facebook.com/BabyAndMom.co.th/
TikTok: https://www.tiktok.com/@babyandmom.co.th
Line OA: @BabyAndMom.co.th (ปรึกษาครูก้อยและคัมภีร์บำรุงเตรียมตั้งครรภ์สำหรับผู้มีบุตรยาก)