ระบุเกษตรกรนำกลุ่มจุลินทรีย์ "BioD I วว." ไปใช้ในแปลงนาของจังหวัดปทุมธานีแล้ว 4,531 ไร่ ลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้มากกว่า 20% เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการตอบรับแนวทางชีวภาพแทนการเผาตอซังกว่า 94%

ดร.โศรดา วัลภา รองผู้ว่าการบริการอุตสาหกรรม สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ "โครงการชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าว" จัดโดย ห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ (หป.สช.) ศูนย์พัฒนาและวิเคราะห์สมบัติของวัสดุ (ศพว.) วว. เพื่อสรุปผลการดำเนินงานและระดมข้อคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่เกษตรและกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีที่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้ง 7 อำเภอ ได้แก่ อ.ลาดหลุมแก้ว อ.หนองเสือ อ.คลองหลวง อ.ลำลูกกา อ.สามโคก อ.ธัญบุรี และ อ.เมืองปทุมธานี พร้อมถอดบทเรียนการนำองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (วทน.) เข้าไปมีส่วนร่วมในการลดการเผาตอซังข้าวหนึ่งในสาเหตุการเกิดฝุ่น PM 2.5 และยังเพิ่มมูลค่าการผลิตข้าว จัดเป็นอีกหนึ่งแนวทางการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้การให้บริการโครงการวิจัยฯ แก่ บริษัท อาปิโก ฟอร์จจิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยมีนางสาวจรรยา ทุกข์จาก หัวหน้ากลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดปทุมธานี ผู้แทนกลุ่มวิสาหกิจชุมชนและสำนักงานเกษตรอำเภอทั้ง 7 อำเภอที่ร่วมโครงการฯ นายสุพรชัย รัตนสินธ์วงศ์ Exclusive Director (HR & RHD) บริษท อาปิโกฯ ดร.ดวงพร อุนพานิช ผอ.ศพว. ผู้บริหารและบุคลากร วว. เข้าร่วมกิจกรรม ในวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคาร Admin วว. เทคโนธานี คลองห้า จ.ปทุมธานี
"...โครงการชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าว ถือเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายสำคัญในการดำเนินงานของ วว. และเป็นไปตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านการเกษตร จากแนวคิดที่ต้องการลดผลกระทบต่อระบบนิเวศและความอุดมสมบูรณ์ของดิน เนื่องจากการเผาทำลายอินทรียวัตถุ ธาตุอาหารและโครงสร้างดิน ทำให้ดินขาดความอุดมสมบูรณ์ ส่งผลให้ผลผลิตลดลง และเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทำให้โลกร้อนขึ้น..." ดร.โศรดา วัลภา กล่าวตอนหนึ่งในการเปิดงานสัมมนาฯ
ดร.อัญชนา พัฒนสุพงษ์ หัวหน้าโครงการฯ และผู้อำนวยการห้องปฏิบัติการทดสอบการสลายตัวทางชีวภาพของวัสดุ กล่าวสรุปการดำเนินงานโครงการฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ว่า ปัจจุบันได้ดำเนินโครงการแล้วเสร็จ โดยมีผลการดำเนินงานดังนี้ 1) จัดสร้างชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าวจำนวน 15 ชุด และนำไปติดตั้งที่วิสาหกิจชุมชน 8 แห่งในจังหวัดปทุมธานี ได้แก่ 1. ศูนย์ข้าวชุมชน หมู่ 1 ต.บึงบา อ.หนองเสือ 2. ข้าวกล้อง ต.สวนพริกไทย อ.เมืองปทุมธานี 3. ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ต.หน้าไม้ อ.ลาดหลุมแก้ว 4. เกษตรใบเขียว ต.บึงคอไห อ.ลำลูกกา 5. นาแปลงใหญ่ข้าวคลองสี่ อ.คลองหลวง 6. ศูนย์การเรียนรู้เกษตรพอเพียงบ้านสวนพันธุ์ผัก ต.คลองควาย อ.สามโคก 7. เครือข่ายศูนย์จัดการพืชชุมชน ต.บ้านปทุม อ.สามโคก และ 8. กลุ่มนาแปลงใหญ่ ต.บึงน้ำรักษ์ อ.ธัญบุรี
2) จัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการและออกงานนิทรรศการให้ความรู้แก่เกษตรกรในจังหวัดปทุมธานีรวม 907 คน 3) เกษตรกรนำกลุ่มจุลินทรีย์ "BioD I วว" ไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่แปลงนาแล้ว 120 ราย คิดเป็นพื้นที่ 4,531 ไร่ 4) เปลี่ยนทัศนคติกลุ่มเกษตรกรที่จะจัดการตอซังโดยการใช้กระบวนการทางชีวภาพทดแทนการเผาได้ถึง 94% ผ่านการอบรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ นอกจากนี้ 99% ของเกษตรกรผู้ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ BioD I วว. ในแปลงนาแล้วยืนยันการใช้ซ้ำในการทำนาครั้งต่อไป 5) ลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้มากกว่า 20% ต่อหนึ่งรอบการทำนา 6) ทุกพื้นที่ที่ใช้กลุ่มจุลินทรีย์ BioD I วว. พบว่า ตอซังนิ่มสามารถไถกลบได้ง่ายภายใน 5-10 วัน น้ำในนาใสขึ้น ไม่มีกลิ่นเหม็นเน่า ดินมีความนุ่มฟูขึ้น และเป็นมิตรต่อระบบนิเวศ โดยผลที่ได้จากการดำเนินโครงการนี้จะนำจังหวัดปทุมธานีไปสู่การเป็นโมเดลต้นแบบในการขยายผลการใช้งานกลุ่มจุลินทรีย์ BioD I วว. ไปใช้ในจังหวัดอื่นๆต่อไป
นายสุพรชัย รัตนสินธ์วงศ์ Exclusive Director (HR & RHD) บริษัท อาปิโกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันทุกองค์กรมุ่งมั่นในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ESG (Environment, Social, Governance) ซึ่งบริษัท อาปิโกฯ ได้ให้ความสำคัญและมุ่งเน้นในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญในการนำพาองค์กรไปสู่ตลาดทั่วโลก โดยทางบริษัทฯ ไม่ได้ดำเนินธุรกิจเพียงที่ประเทศไทยเท่านั้น ปัจจุบันได้ขยายตลาดไปยังประเทศจีน โปรตุเกส และอยู่ระหว่างการขยายตลาดไปยังสหรัฐอเมริกา ความร่วมมือในการดำเนินโครงการชุดบ่มเลี้ยงหัวเชื้อกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพย่อยสลายตอซังข้าวกับ วว. และมีการถ่ายทอดความรู้ให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่จังหวัดปทุมธานีนั้น ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศ ต่อคนไทยและต่อบริษัท อย่างเป็นรูปธรรม และเป็นการดำเนินงานที่เดินไปด้วยกันของภาครัฐและเอกชนอย่างแท้จริง จากความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้จะมีความร่วมมือในเฟสต่อไปอย่างแน่นอน เพื่อสานต่อการทำงานและร่วมกันแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหาฝุ่น PM2.5 ให้ยั่งยืนต่อไป