บมจ.เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล หรือ WAVE เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 กำไรสุทธิ 105.44 ล้านบาท เติบโต 287% จากการจัดการโครงสร้างทางการเงิน แม้เผชิญความท้าทายเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงกระทบต่อภาคการศึกษา โชว์ธุรกิจ Climate Solution ขยายฐานลูกค้าธุรกิจโรงแรม การท่องเที่ยว และการให้บริการคาร์บอนเครดิต เติบโตโดดเด่น ชูแผนเชิงรุกธุรกิจการศึกษาและธุรกิจ Climate Solution ขานรับเทรนด์ความยั่งยืน หนุนธุรกิจให้บริการโปรเจกต์ข้าวยั่งยืน (AWD) และโรงแรมยั่งยืน (Green Hotel) ปี 69 คาดดีมานด์ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์-ชดเชยคาร์บอนเพิ่ม พร้อมเดินหน้าสร้างการเติบโตรับกับความเปลี่ยนแปลงโลก
นายถิรพงศ์ คำเรืองฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอกซ์โพเนนเชียล จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE
ผู้ให้บริการ Climate Solution ครบวงจร และดำเนินธุรกิจโรงเรียนสอนภาษา เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 มีปัจจัยความท้าทายหลายมิติ ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบางส่งผลต่อภาคการศึกษา สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย และภาคธุรกิจชะลอการใช้งบฯ ประกอบกับบริษัทฯ กำลังอยู่ในช่วงของการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 (ก.ค.-ก.ย) มีรายได้จากการขายและบริการ 104.47 ล้านบาท ลดลง 17% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) อย่างไรก็ตาม เวฟ เอ็ดดูเคชั่น กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ดำเนินธุรกิจการศึกษายังรักษาโมเมนตัมที่ดี มีการให้บริการตามสัญญาการศึกษาเฉลี่ย 6 - 12 เดือน และทยอยรับรู้รายได้ให้กับบริษัทฯ ขณะที่บริการด้าน Climate Solutions ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม และภาคอุตสาหกรรมที่ต้องเตรียมความพร้อมด้านมาตรฐานสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทฯ สามารถขยายฐานลูกค้าภาคเอกชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้คำปรึกษาด้านการลดคาร์บอนแก่องค์กร ธุรกิจโรงแรม และการท่องเที่ยว (ตามมาตรฐาน Green Hotel Plus และ GSTC) รวมถึงบริการคาร์บอนเครดิตจากโครงการปลูกข้าวแบบเปียกสลับแห้ง (AWD) ซึ่งตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน
ไตรมาส 3/2568 บริษัทฯ ทำกำไรสุทธิ 105.44 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 78.16 ล้านบาท เติบโต 287 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากมีกำไรพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-off) เป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ มีการจัดการโครงสร้างทางการเงินที่รอบคอบ ในส่วนของรายการที่เกี่ยวข้องกับใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECs) ได้ดำเนินการปรับปรุงเงื่อนไขให้สอดคล้องกับทิศทางธุรกิจและโครงสร้างต้นทุนในปัจจุบัน เพื่อให้รูปแบบธุรกิจมีความคล่องตัวมากขึ้น และสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระยะยาว โดยยกเลิกสัญญาซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน ที่ได้ทำสัญญาซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียนระยะยาว ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา การตัดสินใจดังกล่าว เกิดจากความล่าช้าของการร่าง พ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่จะเปลี่ยนความต้องการของตลาดจากภาคสมัครใจเป็นภาคบังคับ อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อมั่นการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเป็นเรื่องเร่งด่วนในระดับประเทศ
ด้านฐานะการเงิน บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 988.14 ล้านบาท และมีหนี้สินรวม 361.99 ล้านบาท ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากสิ้นปี 2567 ซึ่งสะท้อนความคืบหน้าในการจัดโครงสร้างภาระผูกพันและการบริหารสภาพคล่องอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 626.15 ล้านบาท และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงยิ่งขึ้น
"บริษัทฯ จะเดินหน้าพัฒนาศักยภาพของทั้งสองธุรกิจ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งด้านการเงินและการบริหารต้นทุน เพื่อสร้างเสถียรภาพและความพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโตในระยะยาว มุ่งมั่นยกระดับการให้บริการให้ตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง " นายถิรพงศ์ กล่าว
ด้านทิศทางธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ เดินหน้าขับเคลื่อน สองธุรกิจหลัก ได้แก่ (1) Climate Solution ซึ่งครอบคลุมบริการด้านการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับโรงแรม (Green Hotel Plus, GSTC) มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจโรงแรม ที่ต้องการเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานตามข้อกำหนด "Green Hotel Plus และ EU" และรุกขยายการให้คำปรึกษาเพื่อตอบสนองมาตรการใหม่ ๆ เช่น CBAM และ CORSIA รวมทั้งการให้บริการเป็นตัวกลางผู้ซื้อและผู้ขาย Carbon Credits และใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (RECS) อย่างต่อเนื่อง (2) Education Business เดินหน้าขยายแฟรนไชส์ Wall Street English และเตรียมความพร้อมด้านระบบแฟรนไชส์ของโรงเรียนสอนภาษาจีน "Let's Mandarin" เพื่อตอบรับความต้องการทักษะภาษาที่เติบโตต่อเนื่อง
ส่วนทิศทางของธุรกิจ Climate Solution ยังมีศักยภาพเติบโตอีกมาก ทั้งจากการการประชุม COP30 ณ เมืองเบเลม ประเทศบราซิล (10-21 พฤศจิกายน 2568) ซึ่งมีวาระสำคัญคือการผลักดัน กองทุนสภาพภูมิอากาศใหม่ (New Climate Fund) เพื่อมุ่งส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืน ส่งผลให้องค์กรต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวสู่การดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืน อีกทั้งในปี 2569 บริษัทฯ ได้ประเมินความต้องการ โดยเฉพาะการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint Accounting) และการชดเชยคาร์บอน (Carbon Credit) จะเพิ่มขึ้นและจะเริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลงจากกระแสไปสู่ความจำเป็นทางธุรกิจ เนื่องจากการบังคับใช้ CBAM (ภาษีคาร์บอนยุโรป) เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน (Transition Phase) ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา โดยสหภาพยุโรปจะเริ่มเรียกเก็บภาษีคาร์บอนสำหรับสินค้านำเข้า อาทิ เหล็ก อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2570 นอกจากนี้ประเทศไทยกำลังดำเนินการร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือเปลี่ยนการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมจากภาคสมัครใจเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย ทำให้ธุรกิจไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว ต้องลดการปล่อยคาร์บอนอย่างจริงจังและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตอกย้ำว่าธุรกิจ Climate Solution ของบริษัทฯ มีศักยภาพเติบโตพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงนี้
NRF คว้า "เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร" ตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งสู่ความยั่งยืน
'WAVE' จัดงานสัมมนา "Driving Industrial Sustainability in Action" นิคมฯ บางปู แชร์กลยุทธ์จัดการคาร์บอนฟุตพริ้นท์และลดก๊าซเรือนกระจก
โซเด็กซ์โซ่ ประเทศไทย ตอกย้ำพันธกิจสู่ความยั่งยืน ชูกิจกรรม "WasteWatch & WasteWise Champion 2025" ลดขยะอาหาร สร้างอนาคตที่ดีกว่า
บีไอจี ผนึก กกพ. เปิดมิติใหม่การจัดการพลังงานภาครัฐ ด้วย Carbon Management Platform สู่เป้าหมาย Net Zero
NT ผนึก วี กรีน เคยู พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ขับเคลื่อนไทยสู่ Net Zero
DEXON รับมอบฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร จากTGO ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero
DEXON รับมอบฉลากคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กร จาก TGO ตอกย้ำความมุ่งมั่นสู่ Net Zero
CHOW เสริมทัพความแข็งแกร่ง คว้าใบรับรอง "คาร์บอนฟุตพริ้นท์" เพิ่ม 6 ผลิตภัณฑ์ พร้อมยกระดับการแข่งขันในตลาดเหล็ก พาธุรกิจเดินหน้าสู่ความยั่งยืน