กรุงเทพฯ--13--มี.ค.--เวเบอร์ แชนด์วิค เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย)
กลุ่มเนสท์เล่ แถลงผลประกอบการประจำปี 2544 ยอดขายทะลุเป้า ด้วยอัตราการเติบโตภายในที่แท้จริงร้อยละ 4.4 ผลประกอบการดีเยี่ยม กำไรสุทธิ กำไรสุทธิต่อหุ้น และเงินปันผลเพิ่มขึ้นร้อยละ16
เวเวย์ - กลุ่มเนสท์เล่มียอดขายรวมในปี 2544 สูงถึง 84,698 ล้านฟรังก์สวิส คิดเป็น 2,117,450 ล้านบาท (ปี 2543: 81,422 ล้านฟรังก์สวิส หรือคิดเป็น 2,035,550 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4 ผลกำไรจากการประกอบการสูงถึง 9,218 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 230,450 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10.9 ของกำไรต่อยอดขาย ทั้งนี้กลุ่มเนสท์เล่สามารถพัฒนายอดขายข้างต้นได้แม้ว่ามีการลงทุนทางการค้าและค่าใช้จ่ายในโครงการโกลบ (GLOBE) ส่วนผลกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITA) เพิ่มขึ้นเป็น 9,713 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 242,825 ล้านบาท ผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.9 คิดเป็น 6,681 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 167,025 ล้านบาท โดยมีผลกำไรต่อยอดขายร้อยละ 7.9 กำไรสุทธิต่อหุ้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.7 จาก 14.91 ฟรังก์สวิส หรือ 372.75 บาท เป็น 17.25 ฟรังก์สวิส หรือ 431.25 บาท
กลุ่มเนสท์เล่สามารถสร้างอัตราการเติบโตประจำปีได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ร้อยละ 4 โดยมีอัตราการเติบโตภายในที่แท้จริงร้อยละ 4.4 ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิบัติงานจากทุกหน่วยงานและกิจกรรม กลุ่มเนสท์เล่ในแถบยุโรปตะวันออกมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรัสเซีย และส่วนใหญ่ในเอเชีย เนสท์เล่ในจีน อินเดีย และภูมิภาคอินโดไชน่ามีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับเลขสองหลัก เช่นเดียวกับบางประเทศในแอฟริกา และธุรกิจน้ำดื่มในสหรัฐอเมริกา และเยอรมนี รวมทั้งกลุ่มบริษัทร่วมทุน และธุรกิจในอัลคอนต่างมีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตราการเติบโตเฉลี่ยของกลุ่มเนสท์เล่โดยรวม
กลุ่มเนสท์เล่มีอัตราการเติบโตของยอดขายโดยรวมสูงถึงร้อยละ 4 ในเงินสกุลฟรังก์สวิส เป็นผลมาจากอัตราการเติบโตของยอดขายร้อยละ 9.7 จากการเปรียบเทียบโครงสร้างการดำเนินงานและอัตราแลกเปลี่ยนที่คงที่ ซึ่งประกอบเป็นอัตราการเติบโตของธุรกิจโดยธรรมชาติร้อยละ 6.4 สาเหตุสำคัญในการผลักดันอัตราการเติบโตของยอดขายที่สูงขึ้นนี้คือ อัตราการเติบโตภายในที่แท้จริงที่สูงถึงร้อยละ 4.4 ในขณะที่ราคาและปัจจัยอื่นๆมีส่วนช่วยเสริมอีกร้อยละ 5.3 อย่างไรก็ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินสกุลฟรังก์สวิสมีผลทำให้ยอดขายโดยรวมลดลงร้อยละ 4.7 และรายจ่ายสุทธิจากการซื้อกิจการทำให้ยอดขายโดยรวมลดลงร้อยละ 1
การซื้อกิจการ ราลสตัน พูรินา ผ่านการอนุมัติในกลางเดือนธันวาคมจึงไม่มีผลต่อผลประกอบการปี 2544 การลงทุนในการซื้อกิจการดังกล่าวรวมทั้งการลงทุนในการซื้อกิจการน้ำดื่มและไอศกรีมมีผลทำให้หนี้สุทธิของกลุ่มเนสท์เล่เพิ่มขึ้นเป็น 19.4 พันล้านฟรังก์สวิส หรือ 485 พันล้านบาท ( สิ้นปี 2543: 3 พันล้านฟรังก์สวิส หรือ 75 พันล้านบาท ) ด้วยกระแสเงินสดหมุนเวียนที่แข็งแกร่งสูงถึง 8,614 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 215,350 ล้านบาท ( ปี 2543: 8,851 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 221,275 ล้านบาท ) สถานะทางการเงินของกลุ่มเนสท์เล่จึงอยู่ในสภาพคล่อง ซึ่งเห็นได้จากการจัดอันดับสัดส่วนหนี้อยู่ในระดับ AAA
ปี 2544 กลุ่มเนสท์เล่ได้พัฒนาธุรกิจของตนให้มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งโดย
- เดินหน้าตามโครงการ GLOBE ทั่วโลก
- ประสบความสำเร็จในการหาข้อสรุปโครงการ MH97 โดยทำให้กลุ่มมีเงินออมเพิ่มขึ้น 900 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 22,500 ล้านบาท ในปี 2544 เป็นผลให้เงินออมโดยรวมสูงถึง 4 พันล้านฟรังก์สวิส หรือ 1 แสนล้านบาท
- ริเริ่มโครงการใหม่ 3 โครงการ ในหน่วยงานการผลิต การลงทุนทางการค้า และ ผลการทำงานของผู้บริหาร
- สานต่อโครงการยุบธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก หรือธุรกิจที่มีผลประกอบการไม่พึงพอใจ
นอกจากนี้ กลุ่มเนสท์เล่ยังได้พยายามเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตราสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆของเนสท์เล่ รวมทั้งกระจายสินค้าเนสท์เล่ให้ทั่วถึงผู้บริโภคในทุกแห่ง การซื้อกิจการที่สำคัญในเชิงกลยุทธ์เช่น ราลสตัน พูริน่า การเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียวใน ไอศกรีม พาร์ตเนอร์ ยูเอสเอ และการซื้อกิจการโชลเลอร์ โฮลดิ้ง รวมถึง การซื้อกิจการที่สำคัญต่างๆในธุรกิจน้ำดื่ม แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงของกลุ่มเนสท์เล่และความสามารถในการขยายกิจการในธุรกิจที่สำคัญๆ เหล่านี้
อนึ่ง เนสท์เล่แถลงการซื้อกิจการผู้ผลิตขนมหวานและช็อคโกแลตบราซิลของ กาโรโต เอสเอ ใน วิล่า เวลฮ่า ในรัฐ เอสปิริโต ซานโต บริษัทดำเนินกิจการใน 2 โรงงาน โดยมีพนักงานมากกว่า 2,500 คน และสร้างยอดขายประจำปีได้มากกว่า 310 ล้านฟรังก์สวิส หรือ 7,750 ล้านบาท การซื้อกิจการดังกล่าวนี้เสริมสร้างศักยภาพให้แก่เนสท์เล่ในตลาดช็อคโกแลตของบราซิลตอนเหนือ และเป็นการเปิดตลาดผลิตภัณฑ์เสริมต่างๆให้เนสท์เล่อีกด้วย
เนสท์เล่คาดว่าในปีนี้จะสามารถรักษาการเติบโตที่ดีนี้ได้ หากไม่มีเหตุการณ์สำคัญๆที่เหนือความคาดหมายใดๆเกิดขึ้น ดัชนีทางเศรษฐกิจแสดงให้เห็นถึงการเติบโตโดยรวมในอเมริกาเหนือ รวมทั้งบางส่วนในยุโรป ทั้งนี้ละตินอเมริกายกเว้นบางพื้นที่ที่แยกตัวออกไปเริ่มแสดงให้เห็นความก้าวหน้าในขณะที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในเอเชียส่วนใหญ่เป็นที่น่าพึงพอใจ ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่าจะสามารถเพิ่มทั้งยอดขายและผลกำไรได้ในช่วงปี 2545
จากการประชุมเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2545 คณะกรรมการได้อนุมัติรายงานการตรวจสอบบัญชี และได้นำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อเสนอจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นจาก 5.50 ฟรังก์สวิส หรือ 137.50 บาท (ปรับตามการกระจายหุ้น) เป็น 6.40 ฟรังก์สวิส หรือ 160 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลร้อยละ 37.1 หากที่ประชุมอนุมัติแผนการจ่ายเงินปันผลเพิ่มนี้ บริษัทจะสามารถจ่ายเงินปันผลใหม่นี้ได้ในวันที่ 17 เมษายน 2545
ทั้งนี้ในการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นที่จะมีขึ้น คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วย มิสซิส เวรนี่ สโปรี่ และ มร. ปีเตอร์ บราเบค เลธมาธ จะครบวาระการดำรงแหน่ง โดย มิสซิส สโปรี่ จะเสนอตัวเข้ารับการคัดเลือกเข้าดำรงตำแหน่งอีกวาระหนึ่งเป็นเวลา 2 ปี ในขณะที่ มร. บราเบค จะยังคงดำรงตำแหน่งในวาระต่อไปเป็นเวลา 5 ปี คณะกรรมการเสนอให้ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเลือก ศาสตราจารย์ เวอร์นง ยัง ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางด้านโภชนาการเคมีชีวภาพ แห่งแมสซาชูเซส อินสติติว ออฟ เทคโนโลยี ณ บอสตัน เคมบริดจ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ขึ้นดำรงตำแหน่งกรรมการ
การประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของเนสท์เล่ สวิตเซอร์แลนด์ จะมีขึ้นในวันที่ 11 เมษายน 2545 เวลา 15.00 น. ณ ปาเลซ์ เดอ โบลิเออ เมืองโลซานน์ การโอนหุ้นซึ่งจะมีผลต่อสิทธิในการออกเสียงจะไม่สามารถการะทำได้ในระหว่างวันที่ 22 มีนาคม 2545 จนถึงวันประชุมผู้ถือหุ้น รายงานด้านการบริหารจะเผยแพร่จะเผยแพร่ในวันที่ 22 มีนาคม 2545 ส่วนรายงานทางการเงินที่ตรวจสอบแล้ว ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซด์ www.nestle.com ตั้งแต่วันนี้
กลุ่มเนสท์เล่ แถลงผลประกอบการประจำปี 2544
ยอดขายทะลุเป้า ด้วยอัตราการเติบโตภายในที่แท้จริงร้อยละ 4.4
ผลประกอบการดีเยี่ยม กำไรสุทธิ กำไรสุทธิต่อหุ้น และเงินปันผลเพิ่มขึ้นร้อยละ 16
ปี 2544 ปี 2543 ค่าต่าง %
ยอดขาย 2,117,450 ล้านบาท 2,035,550 ล้านบาท +4%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี และ ค่าเสื่อม (EBITA) 242,825 ล้านบาท 240,000 ล้านบาท +1.2%
กำไรก่อนหักดอกเบี้ย และ ภาษี (EBIT) 230,450 ล้านบาท 229,650 ล้านบาท +0.4%
กำไรสุทธิ 167,025 ล้านบาท 144,075 ล้านบาท +15.9%
กำไรสุทธิต่อหุ้น 431.25 บาท 372.75 บาท +15.7%
เงินปันผล(นำเสนอ) 160.00 บาท 137.50 บาท +16.4%
อัตราการเติบโตภายในที่แท้จริง 4.4% 4.4% -
หมายเหตุ : อัตราแลกเปลี่ยน 25 บาท/ฟรังก์สวิส
สอบถามข้อมูลการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมได้ที่
คุณเสาวภา สุคันธี
ที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์อาวุโส
บริษัท เวเบอร์ แชนด์วิค เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด
โทรศัพท์ 0-2257-0300 ต่อ 324
โทรสาร 0-2257-0312--จบ--
-อน-
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี (ที่ 3 จากซ้าย) ประธานกรรมการ นางสาวสุธิดา มงคลสุธี (ที่ 3 จากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX ดิสทริบิวเตอร์ผู้นำด้านไอทีอีโคซิสเต็ม พร้อมด้วยคณะกรรมการ และทีมผู้บริหาร จัดงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2568 โดยที่ประชุมผ่านการอนุมัติทุกวาระตามที่คณะกรรมการเสนอ พร้อมอนุมัติจ่ายปันผลจากผลประกอบการประจำปี 2567 ในอัตราหุ้นละ 0.34 บาท/หุ้น ซึ่งมีกำหนดจ่ายในวันที่ 14 พฤษภาคม 2568 นี้ ณ สำนักงานใหญ่ บมจ.ซินเน็ค (ประเทศไทย)