ปัญหาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
                                                                                                                                      งานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วทท.) ครั้งที่ 30 ณ อิมแพค เมืองทองธานี
                                                                                                                                      นายพิศาล  สร้อยธุหร่ำ  ผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชี้แจงถึงปัญหาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยว่า ปัญหาที่สำคัญ 3 ประการที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยที่มีน้อยมาก เพียง 1.1 เมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นที่มีเวลาเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ถึง 15-25 % จากเวลาที่ใช้ในการเรียนการสอนทั้งหมด  ดังนั้นหากประเทศไทยยังไม่เพิ่มเวลาที่ใช้ในการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น ก็คงจะไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้  2. ขาดแคลนทรัพยากรที่ใช้ในการเรียนการสอน และ 3. เรื่องของการวัดและประเมินผลการเรียนการสอนซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด เนื่องจากการวัดผลจะเป็นสิ่งที่ครูและนักเรียนทุกคนพยายามจะให้เป็นไปตามนั้น ดังนั้นถ้าหากเราอยากให้เด็กของเราเป็นอย่างไร เช่น ให้เป็นคนช่างคิด และมีทักษะ ครูก็จะต้องสอบและประเมินผลทางความคิดและทักษะตามที่กำหนดไว้ เป็นต้น แต่ถ้าหากการประเมินผลเน้นไปที่ความจำ การเรียนการสอน และการเรียนรู้ของนักเรียนก็จะเป็นไปในลักษณะท่องจำ ทำให้นักเรียนขาดทักษะและความคิด ดังนั้นหากการแก้ปัญหาการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ให้ประสบผลสำเร็จ ก็จะต้องใช้ความสำคัญกับอุปสรรคสำคัญทั้ง 3 ประการนี้
                                                                                                                                      แนวโน้มการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในอนาคตนั้น หลังจากปี ค.ศ. 2000 ไปแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรเน้นในการจัดหลักสูตรการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ศาสตร์นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 อย่างคือ 1. ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  2. ความสามารถในการแก้ปัญหาในชีวิตจริง  และ  3. ในเรื่องของการสื่อสารข้อมูลไปยังผู้อื่น
                                                                                                                                      สำหรับแนวทางในการแก้ปัญหาสำหรับครูวิทยาศาสตร์ที่ขาดแคลนสิ่งที่ใช้ในการสอนนั้น สามารถแก้ไขได้โดยประยุกต์ใช้สื่อการสอนตามธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัว เช่น ต้นไม้ ดิน ฟ้าอากาศ ฯลฯ โดยไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาวัสดุอุปกรณ์การสอนที่มีราคาแพง หรือต้องซื้อหามาเท่านั้น และสิ่งสำคัญที่ครูวิทยาศาสตร์ทุกคนควรจะเน้นก็คือการเรียนการสอนที่เน้นทักษะและความคิด วิเคราะห์ให้มากขึ้น โดยอาจขอความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัย หรือโรงงานอุตสาหกรรม ที่มีทรัพยากร ให้เข้ามาสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนการสอน ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ไปได้มาก
                                                                                                                                      สำหรับการเผยแพร่เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์นั้น สื่อมวลชนควรเข้ามามีส่วนร่วมในการเผยแพร่เรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ให้มากขึ้น เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้ประชาชนเข้าใจ และเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์มากขึ้น
                                                                                                                            
                                                                                                                                      บ้านในฝัน
                                                                                                                                      เด็กนักเรียนมัธยมต้น จังหวัดอุดรธานี ก้าวหน้า จัดทำเครื่องควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านได้สารพัดเพื่ออำนวยความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
                                                                                                                                      ด.ช.บุญฤทธิ์  สมเชี่ยววงศ์กุล ชี้แจงว่า เร่องบ้านในฝัน จัดทำขึ้นเพื่อศึกษาการนำภาษา Pascal มาใช้ควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยผ่านโปรแกรม Delh\phi ไปประยุกต์ใช้กับคอมพิวเตอร์เพื่อควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น การเปิด-ปิดของหลอดไฟฟ้า พัดลม โทรทัศน์ การทำงานของเครื่องเป่าผม การทำงานของโทรศัพท์ สัญญาณกันขโมย การควบคุมเครื่องรดน้ำต้นไม้โดยอัตโนมัติ และการปิดเปิดประตูบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกและประหยัดค่าใช้จ่าย
                                                                                                                                      คณะผู้จัดทำประกอบด้วยตนและ ด.ช.ภนุรุจ  เสนางคนิกร กับ ด.ญ.นันทรัตน์ มงคลไชย โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี  โดยมี น.ส.สุภาพร  ครูหาทอง เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา คณะผู้จัดทำได้ออกแบบบ้านในฝันให้มีขนาดกว้างและยาวประมาณ 50 ซม. สูง  25 ซม. โดยใช้พลาสติกทำผนังบ้านและหลังคา เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพภายในบ้านได้ โดยมีการออกแบบวงจรอินเทอร์เฟส วงจรรับแสงอินฟาเรด และมีการเขียนโปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน  ผลการทดลองการทำงานของระบบควบคุมบ้านในฝัน สามารถควบคุมการเปิด-ปิดหลอดไฟ พัดลม โทรทัศน์ การทำงานของเครื่องเป่าผม การทำงานของโทรศัพท์ สัญญาณกันขโมยและการเปิด-ปิดประตูบ้าน การสั่งการของเครื่องใช้ไฟฟ้าดังกล่าวมีความแม่นยำ ตรงเวลา รวดเร็ว สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                                                                                                                                      การเสนอโครงการวิจัยนี้ มีขึ้นในงานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดที่ ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2547
                                                                                                                            
                                                                                                                                      กำจัดสารพิษตกค้างโดยวิธีทางชีวภาพ
                                                                                                                                      น.ส.นิศารัตน์  ทุยเวียง  มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า สิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน  กำลังประสบปัญหามลภาวะ เนื่องจากสารพิษชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะสารที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของกลุ่มปิโตรเลียมและน้ำมัน นั่นคือสารโพลีไซคลิอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน  ซึ่งเป็นสารพิษกลุ่มใหญ่ที่มีความเป็นพิษค่อนข้างร้ายแรง คืออาจก่อให้เกิดมะเร็ง การเปลี่ยนแปลงของยีนจึงจำเป็นต้องหาทางกำจัดสารพิษ โดยนำจุลินทรีย์ซึ่งสามารถใช้สารประกอบดังกล่าวเป็นแหล่งของคาร์บอนและพลังงานมาช่วยในการย่อยสลาย  จากการทดลองได้คัดเลือกจุลินทรีย์สายพันธ์  N1   จากบริเวณที่มีการปนเปื้อนของสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนสะสมอยู่ในดินเป็นเวลานาน ในเขตจังหวัดพะเยา น่าน และเชียงราย
                                                                                                                                      น.ส.นิศารัตน์ กล่าวต่อไปว่า จากการทดลองพบว่าเชื้อสายนี้สามารถย่อยสลายสาร 0.2 %  ได้แก่ ไฮเบนโซทิโอเพน แอนทราเซน คาร์บาโซล ไพเรน พีนันเทรน  ที่อุณหภูมิ 50   องศาเซ็นติเกรด ได้ และสามารถย่อยสลายสาร ไดเบนโซทิโอเพน ได้ดีและเร็วที่สุด โดยวัดความขุ่นที่ OD 660 ได้เท่ากับ 0.048 หลังจากการเจริญมาถึงวันที่ 4 ความเร็วรอบในการเขย่าที่ 200 รอบต่อนาที อุณหภูมิ  50  องศาเซนติเกรด  จุลินทรีย์แสดงคุณสมบัติเป็นแบคทีเรียแกรมบวก รูปท่อนสั้น ไปสร้างสปอร์โคโลนีสีขาว ขอบเรียบนูนบริเวณกลางโคโลนี จากการวิจัยครั้งนี้ทำให้สามารถนำข้อมูลเบื้องต้นไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านการกำจัดสารพิษตกค้าง การบำบัดน้ำเสียในระดับอุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการวิจัยในด้านการกำจัดสารพิษตกค้างโดยทางชีวภาพต่อไป เพื่อควบคุมมิให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การทดลองนี้มี รศ.ดร.ยุวดี  วัฒนโภคาสิน และ รศ.สุมาลี  เหลือสกุล เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา
                                                                                                                                      การเสนอโครงการวิจัยนี้ มีขึ้นในงานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 30 ซึ่งจัดที่ ศูนย์ประชุมอิมแพค เมืองทองธานี  เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2547
                                                                                                                            
                                                                                                                                      การหมักปุ๋ยจากวัชพืชโดยเทคนิคการเติมอากาศ
                                                                                                                                      งานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วทท.) ครั้งที่ 30 ณ  อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2547
                                                                                                                                      นายธีรพงษ์  สว่างปัญญางกูล  นักวิจัยสาขาสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ได้ทำการศึกษาการหมักปุ๋ยจากวัชพืชโดยการเติมอากาศ ด้วยวิธีการใช้ท่อพีวีซีปักกลางกองปุ๋ยหมัก แล้วใช้พัดลมเติมอากาศเป่าวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 2 นาทีตอนเช้าและตอนเย็น    หมักปุ๋ยจากเศษพืช ใบไม้แห้งและมูลโค ในอัตราส่วน 1:1:1 โดยใช้เครื่องย่อยเศษพืชให้มีขนาด 1-3 นิ้ว แล้วหมักในโครงสร้างที่หุ้มด้วยตาข่าย เติมปุ๋ยยูเรียเป็นหัวเชื้อตามคำแนะนำของกรมพัฒนาที่ดิน พัดลมเป่าอัดอากาศ จะช่วยเติมอากาศผ่านท่อพีวีซี เข้าไป  ความร้อนที่เกิดจากการย่อยสลายของจุลินทรีย์จะลอยตัวขึ้นตามธรรมชาติ ทำให้อากาศเย็นไหลเข้าไปแทนที่ได้ กองปุ๋ยหมักสูง 1 เมตร ความร้อนจะเกิดการสะสมแล้ว ค่อย ๆ ย่อยสลายกองปุ๋ยหมักให้ได้ที่ภายในระยะเวลา 30 วัน โดยไม่ต้องกลับกองปุ๋ย  ซึ่งการพลิกกลับกองปุ๋ยจะทำให้สูญเสียธาตุไนโตรเจน การใช้พัดลมเติมอากาศสามารถขยายกองปุ๋ยได้จำนวนมาก ถึง 30 กอง ซึ่งได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้ให้แก่เกษตรกรแล้ว
                                                                                                                                      มหาวิทยาลัยแม่โจ้ ได้ตั้งศูนย์เพื่ออบรม เผยแพร่ความรู้แก่ชุมชน ซึ่งในปัจจุบันใบไม้แห้งในมหาวิทยาลัย ได้ถูกนำมาทำปุ๋ยหมัก โดยใช้เทคนิคการเติมอากาศ  อันจะเป็นการเพิ่มศักยภาพให้แก่ชุมชนสามารถนำไปผลิตปุ๋ยหมักเป็นอาชีพเสริมได้ปริมาณมาก  ในระยะเวลาอันสั้น และได้ปุ๋ยหมักที่มีคุณภาพ    สำหรับเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรได้เป็นอย่างดี
                                                                                                                            
                                                                                                                                      การใช้ประโยชน์น้ำกากส่าจากโรงงานสุรา
                                                                                                                                      งานประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วทท.) ครั้งที่ 30 ณ อิมแพคเมืองทองธานี ซึ่งจัดขึ้นโดยสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2547
                                                                                                                                      นางทัศนีย์   ดิษฐกมล และนายสมบูรณ์  แก้วปิ่นทอง และคณะผู้วิจัยจากสาขาสิ่งแวดล้อม คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดเผยว่า  จากการทำการวิจัยศึกษาเพื่อลดปัญหาน้ำกากส่าจากโรงงานสุราที่เป็นน้ำทิ้ง นำไปใช้ประโยชน์ในการปลูกข้าว ทำให้เกิดผลดีต่อเกษตรกร ผู้วิจัยได้แนะนำให้เกษตรกรทราบว่า น้ำกากส่าจากโรงงานสุรามีประโยชน์ในการปลูกข้าว ให้ผลผลิตข้าวดี เมื่อใช้ร่วมกับปุ๋ยเคมี โดยปริมาณน้ำกากส่า 40 ลูกบาศก์เมตร/ไร่ และใช้ปุ๋ยเคมี 15 กก./ไร่   จากการสำรวจโดยให้เด็กนักเรียนช่วยในการอธิบายแก่เกษตรกรในการกรอกแบบสอบถาม หลังการใช้น้ำกากส่าปลูกข้าว ปรากฏว่าเกษตรกร 97 %  เห็นด้วยในการนำน้ำกากส่าไปใช้ประโยชน์ในการปลูกข้าว เกษตรกรมีส่วนร่วมและพึงพอใจในการใช้น้ำกากส่า และยังเป็นการสร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ในสาขาสิ่งแวดล้อม ในฤดูแล้งที่ขาดน้ำในการเพาะปลูกพืชเกษตร  น้ำกากส่าจึงถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้ดี   นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในการปลูกอ้อย มันสำปะหลัง ใช้ทำปุ๋ยอินทรีย์ และยังเป็นอาหารสัตว์ได้อีกด้วย 
                                                                                                                                      ผลผลิตข้าวที่ได้จาการใช้ประโยชน์จากกากส่า มีเปอร์เซ็นต์เมล็ดที่สมบูรณ์ดี มีจำนวนมาก และมีปริมาณเมล็ดเสียน้อย การเจริญเติบโตของต้นข้าวเจริญไปพร้อม ๆ กัน และคุณภาพของเมล็ดข้าวที่ได้จาการปลูกโดยน้ำกากส่า จะเป็นข้าวที่มีความนุ่มและมีกลิ่นหอมกว่าปกติ
                                                                                                                            
                                                                                                                                      ผลการแข่งขันโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4
                                                                                                                                      สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ จัดงานแข่งขันโครงการรางวัลนวัตกรรมแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 4 โดยได้คัดเลือกผลงานนวัตกรรมจากสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศไทย เพื่อนำมาคัดเลือกในการแข่งขันระดับประเทศ ซึ่งได้จัดขึ้นในงานวันเทคโนโลยีของไทย และงานฉลองสมโภช 200 ปี แห่งการพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ระหว่างวันที่ 19-21 ตุลาคม 2547 ณ ศูนย์การประชุมอิมแพค เมืองทองธานี โดยแข่งขันใน 3 สาขา มีผลการแข่งขัน คือ
                                                                                                                                      สาขาวิทยาศาสตร์กายภาพและชีวภาพ   รางวัลชนะเลิศ โครงการ S -16 ต้นแบบซอพต์แวร์การเจริญของ Spirul ina platensis  โดย นายพันธุ์วงศ์ คุณธนะวัฒน์ และนายอารยะ สวัสดิชัย จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  รองอันดับ 1   โครงการ S-11  การทำให้โฟมและยางพื้นรองเท้ายึดติดกันโดยไม่อาศัยกาว โดย นายสราวุฒิ  ช่วงโชติ  จากมหาวิทยาลัยศิลปากร              รองอันดับ 2 โครงการ S -04 ผลิตภัณฑ์คล้ายเส้นสปาเกตตีจากแป้งข้าวจ้าวโดยกระบวนการเอ็กซ์ทรูชัน โดย น.ส.พรพิมล เสรีวัฒน์ น.ส.ศิริรัตน์  สุเมธลักษณ์ และ น.ส.จันทร์กวี สุทธิพินิจธรรม จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ รางวัลชมเชย 2 รางวัล คือ โครงการ S -02 มะเขือผง โดยนายเปาว์  คงสุนทรกิจกุล  จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ โครงการ S-06 ข้าวเพื่อน้ำมัน โดย นายศิวเรศ อารีกิจ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
                                                                                                                                      สาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี  ชนะเลิศ  โครงการ E-08 เครื่องตัดเสาเข็ม โดย นายภานุมาศ ศุภกุล นายสิริศักดิ์ ดุษฎีวนิช และนายพรรษวัฒน์ หลิมสกุล จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี   รองอันดับ 1  โครงการ E -26 ระบบจ่ายน้ำอัตโนมัติ  โดย นายเรวัตร  ใจสุทธิ และ นางสาวขนิษฐา  จิระมงคล จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  รองอับดับ 2 มี 2 รางวัล  คือ โครงการ E-17  เครื่องเก็บรับไหมจากจ่อไม้  โดย นายทนงศักดิ์  พงษ์ศรี ว่าที่ ร.ต.ศักดิ์ดา  ภาษี นานรักอนุชา คำถา และ ว่าที่ ร.ต.เข็มพร แก้วสงค์ จากมหาวิทยาลัยเพชรบูรณ์ และ โครงการ E-30 โปรแกรมแปลงอักษรเบรลล์ภาษาไทยให้เป็นรหัสแอสกี  โดย นางสาวศันสนีย์  บุญสนอง จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  รางวัลชมเชย 4 รางวัล คือ 1. โครงการ E-13 ปั๊มจนหมดหนี้  โดย นายปัญญาวุฒิ เจียมประเสริฐ นายณรงค์ฤทธิ์  ธรรมประดิษฐ์ นายณัฐพล  โชคบุญมงคล และ นายดิฐพงศ์  ทองคำ  จากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ  2. โครงการ E-01  แผ่นระบายความร้อนจาก  Notebook  โดย นางสาวธนิษฐา  พูนสิน และนายคธาวุธ  คุ้มภัย  จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 3. โครงการ E-05 i-Can-Coolz  โดย นายพิพัฒน์  ศรีปิติวิทยา มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ และ 4. โครงการ E-21 เครื่องกำเนิดไฟฟ้าคลื่นหัวใจ 12 ลีด แบบหลายรูปคลื่น  โดย นายเกียรติศักดิ์ โยชะนังและนายชาตรี  ทับทอง จาก สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
                                                                                                                                      สาขาสร้างเสริมสุขภาพ ชนะเลิศ โครงการ HP -01 เครื่องตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองแบบพกพา โดย นายณรงค์ชัย  ทองน้อย จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร  รองอันดับ 1 โครงการ HP-04   การตั้งตำรับน้ำตาเทียมจากไคโตซานเจล  โดย นางสาวนิจพร  ญาณสาร และนายกานต์ เวียรศิลป์ จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่  รองอันดับ 2  โครงการ HP -07 การพัฒนาตำรับแผ่นฟิล์มละลายได้สำหรับอมที่ส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากสมุนไพรไทยเพื่อใช้ระงับกลิ่นปาก  โดย นายธีรภัทร  เหลี่ยมวานิช จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
                                                                                                                                      สาขานวัตกรรมเชิงธุรกิจ  ชนะเลิศ 3 รางวัล ได้แก่ 1.โครงการ E-27 เครื่องให้อาหารสุนัขอัตโนมัติโดยใช้ PLC   นำโดยนายนราธิป  โยธาศิริและคณะผู้ร่วมวิจัยจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ2.  โครงการ E-12 เครื่องแยกชนิดเศษพลาสติก โดย นายสธน กิตยาภรณ์ นายจุฬพงษ์ พานิชเกรียงกร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ 3.โครงการ E-23 ระบบนำร่องบนโทรศัพท์มือถือ โดย นายกิตติชัย วิวัฒนานันต์ และนายกิตติเดช  ตั้งเรืองวงศ์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รองชนะเลิศ 2 รางวัล  ได้แก่โครงการ E-01 แผ่นระบายความร้อนสำหรับ notebook และโครงการ HP-01 เครื่องตรวจวัดปริมาณฝุ่นละอองแบบพกพา--จบ--