TUCAR ตัดวงจรยาเสพติดเชิญผู้ผ่านการบำบัดยาเสพติดพิชิตใจตัวเอง ร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--25 มี.ค.--โครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม

ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาสำคัญ ที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญรุดหน้าไปในทิศทางที่อันควรเนื่องด้วยประชากรส่วนหนึ่ง ต้องอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติดที่ยากจะหลุดพ้น คนส่วนใหญ่จะกลับไปเสพซ้ำ กลายเป็นวัฏจักรหมุนเวียนไม่จบสิ้น ดังนั้น สำนักงานประสานความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-สหรัฐอเมริกา เพื่อการวิจัยเกี่ยวกับสารแอมเฟตามีน (TUCAR) ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมอู่กลาง กรมการประกันภัย และหน่วยงานอื่น ๆ ที่ร่วมเป็นภาคีเครือข่าย เปิดโครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม ขึ้นเพื่อฟื้นฟูสภาพจิตใจ และหาอาชีพให้ทำเพื่อเป็นการตัดวงจรยาเสพติด นพ.มล.สมชาย จักรพันธุ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต ผอ.สำนักงานประสานความร่วมมือฯ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางโครงการฯ ได้จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้สู่ความเป็นหนึ่ง (บ้านพักระหว่างทาง) เพื่อนำร่อง 2 แห่ง คือที่สถานีตำรวจภูธรหลังเก่า อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี ขณะนี้มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ 9 คน และมี 5 คนได้เข้าฝึกงานในสถานประกอบการอยู่ในปัจจุบัน ภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยง 3 คน และแห่งที่ 2 คือ พื้นที่เขตมีนบุรี กำลังจะเริ่มเปิดรับสมัครผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการ โดยผู้สมัครต้องผ่านการบำบัดมาแล้ว อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี และต้องไม่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต นายกิตติศักดิ์ เดชทิพยวรรณ์ พี่เลี้ยงศูนย์การเรียนรู้ ที่อ.ไทรน้อย ซึ่งมีประสบการณ์ ในการเสพเฮโรอีน ยาบ้า โคเคน กัญชา มาตั้งแต่อายุ 15 ปี เล่าความหลังว่า ติดกัญชาตั้งแต่อายุ 15 ปี ทางบ้านมีฐานะดีไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ด้วยความอยากลองจึงต้องทนทรมานติดยามากว่า 10 ปี เข้าออกสถานบำบัดหลายครั้งจนในที่สุดก็พาตัวเองหลุดพ้นวงจรยาเสพติดมาได้อย่างฉิวเฉียด และเข้ามาเป็นเจ้าหน้าที่ของศูนย์ จากประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้รู้เหลี่ยมมุม และเข้าใจในตัวตนของผู้เสพยาเป็นอย่างดี “ที่ศูนย์ จะมีอาหารการกินพร้อม คนที่ไปทำงานก็จะออกจากศูนย์แต่เช้า และต้องรีบกลับเมื่องานเลิก เพราะทุกคนรอทานข้าวพร้อมกัน หลังจากนั้นจะมีการเข้ากลุ่มเพื่อพูดคุยถึงปัญหาที่แต่ละคนพบในแต่ละวัน บางคนไม่ชอบพูดคุยในกลุ่มเราก็ต้องสังเกตปฏิกิริยา จากนั้นก็จะชวนมาคุยเป็นการส่วนตัวว่ามีปัญหาอะไรบ้าง บางคนใช้ชีวิตข้างถนน ไม่เคยไว้วางใจใคร จะโกหก ก็ต้องหาทางพูดคุยกันเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น ซึ่งคนที่ได้ไปฝึกงานทางศูนย์จะเข้าไปดูแลเรื่องการเงิน โดยนำเงินไปฝากธนาคาร และมีรายรับจ่ายที่ถูกต้อง ส่วนชาวบ้านแถวนี้เกิดความรู้สึกดี ๆ เพราะเมื่อพวกเรามาอยู่ ก็ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้ใคร” สำหรับ “เอ้” ผู้ที่ผ่านการบำบัดและได้เข้าฝึกงานในบริษัทแห่งหนึ่ง ทุกคนในที่ทำงานไม่รู้ว่าเค้าคือผู้ที่ผ่านการบำบัด เพราะข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ มีเพียงผู้บริหารระดับสูงในสถานประกอบการไม่กี่คนที่จะรู้ข้อมูลนี้ เอ้ย้อนความหลังให้ฟังว่า สูบบุหรี่มาตั้งแต่ ป.1 จากนั้นหันมาใช้ยาบ้า จนถูกจับกุมและเข้ารับการฝึกที่กองทัพเรือ 3 สัตหีบ เมื่อเห็นโครงการจึงสมัครเข้ามาเพระอยากมีงานทำ หลังจากเข้าไปฝึกงานประมาณ 1 เดือน ทำให้มีชีวิตชีวามากขึ้น เมื่อเสร็จสิ้นโครงการ เอ้ยืนยันว่าจะทำงานนี้ต่อไป ส่วน “วันชัย” หนุ่มวัยใกล้เบญจเพศ เข้าไปอยู่ในวังวนของยาเสพติดนานกว่า 10 ปี หลงใหลไปกับฤทธิ์ของยาบ้า เคยเสพสูงสุดถึงวันละ 30 เม็ด เล่าถึงเส้นทางการเสพว่า ในช่วงม.ต้นเริ่มเสพยาบ้า ทางบ้านมีฐานะดี จึงไม่เดือดร้อนที่จะใช้วิธีโทร.สั่งของในรูปแบบของเดลิ เวอรี่ และรู้สึกสนุกที่ได้หลอกแม่ว่าเป็นเด็กดีมาตลอด เช้าไปเรียน เย็นกลับบ้านไม่มีสภาพของผู้ที่เสพยาให้เห็น แต่เมื่อเงินเริ่มหมดและคบเพื่อนที่ใช้ยาเหมือนกันจึงชักชวนเสพยาหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นผู้ขายอีกด้วย “ช่วงนั้นใครว่าอะไรไม่ได้เลย อารมณ์ขึ้นทันที ถ้าไม่ได้ใช้ยาจะหงุดหงิดมาก แม่ร้องไห้แทบเป็นสายเลือด เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว ในช่วงที่ยามีราคาแพงหาซื้อยาก ผมนั่งรถจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ กำเงินมาไม่กี่ร้อยเพื่อมาซื้อยาบ้า ต่อมาถูกจับก็เข้ารับการบำบัดหลายที่ จนเดี๋ยวนี้ ทางบ้านยังไม่ไว้วางใจว่าผมจะกลับตัวได้จริง ผมก็ต้องพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าผมต้องทำได้ แต่ผมยืนยันว่าจะไม่กลับบ้าน เพราะคนในหมู่บ้านมองเราไปในทิศทางที่ไม่ดี ทำให้ผมคิดว่าการใช้ชีวิตมันช่างยากเย็นเหลือเกิน พอจบโครงการผมก็จะบวชให้แม่” ทางด้าน “คอง” ซึ่งติดยาบ้า หลังจากผ่านการบำบัดมาหลายที่ ก็ได้สมัครเข้าร่วมโครงการและฝึกงานในสถานประกอบการ คองยืนยันอย่างหนักแน่นว่า “ผมไม่แคร์คนที่ไม่ยอมรับ แต่คนเรามีสิทธิพลาดได้ ขอให้โอกาส งานที่ได้ทำเป็นงานที่ดีเพื่อนร่วมงานดี วุฒิการศึกษาของผมไปสมัครงานที่ไหนก็คงไม่มีใครรับสังคมรังเกียจเรา และผมยืนยันว่าไม่กลับไปเสพอีก เพราะถ้าคิดจะกลับไปผมคงไม่เข้าร่วมโครงการ” “ป่าน” อายุเลย 20 ปีมาไม่กี่วัน ผ่านมาทั้งเรื่องของยาเสพติด การพนัน เล่าว่า เริ่มใช้ยาบ้าตั้งแต่ ม.2 ได้ทดลองแล้วติดใจ คล้ายกับสิ่งที่ทดแทนให้เรามีความสุขทำให้ลืมปัญหาอะไรบางอย่าง จนถูกตำรวจบุกจับหลังเสพยาในหอพักของเพื่อน จึงถูกส่งไปบำบัด จากนั้นตัดสินใจมาร่วมโครงการ เข้าไปทำงาน ตอนนี้มั่นใจไม่หวนกลับเสพ เพราะมีแต่วงจรเก่า ๆ ถูกจับเข้าสถานบำบัด ออกจากสถานบำบัดแล้วหันไปเสพอีกก็ถูกจับอีก ทำไมเราจึงต้องเข้าไปอยู่ในวังวนเดิม ๆ “ ตัวอย่างของผู้ที่ผ่านการบำบัด และเข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม คงจะทำให้ใครหลายคนเกิดความมั่นใจว่า หลังจากผ่านการบำบัดจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ มีงาน มีเงิน และเปิดโลกทางความคิดเสียใหม่ ใช้ประสบการณ์เดิมเป็นคติเตือนใจ และใช้อนาคต เป็นสิ่งกระตุ้นให้เรากระตือรือร้นอยากเป็นคนดีในสังคมอีกครั้ง สำหรับรูปแบบของการดำเนินโครงการนั้น ได้นำความรู้เรื่อง Half way house หรือบ้านพักระหว่างทาง จะเป็นสื่อกลางประสานระหว่างผู้เคยเสพยาที่ผ่านการบำบัดฟื้นฟู ให้เข้าเรียนรู้ชีวิตในสังคมจริง โดยเน้นไปที่ชุมชนเป็นหลัก และในช่วงระยะเวลา 6 เดือน ผู้ที่เข้าร่วมโครงการ จะต้องผ่านขั้นต่าง ๆ 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. การปรับตัว 2. ปรับพื้นฐานทางอารมณ์ 3. เรียนรู้โลกของงาน สามารถทำงานในสถานประกอบการณ์จริงได้ 4. ปรับตัวและทัศคติเข้ากับครอบครัว ชุมชน และสังคมของตน และ 5. เตรียมความพร้อมในการกลับไปอยู่ครอบครัว ชุมชน ของตนเองได้ในที่สุด โครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม ได้เปิดรับสมัครผู้ที่ผ่านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดมาแล้วเข้าร่วมโครงการ เพื่อเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมจริง ซึ่งทางโครงการจะช่วยหางานให้ทำในโรงงาน สถานประกอบการ และอู่กลางการประกันภัย และยังสนับสนุนที่พัก อาหารและค่าใช้จ่ายในการเดินทางตลอดระยะเวลา 6 เดือน หากผู้ผ่านการบำบัดท่านใดสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการ สามารถติดต่อที่สำนักงานประสานความร่วมมือฯ ได้ที่โทรศัพท์หมายเลข 0-2591-3522 และ 0-2591-3422 หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ : คุณอุมาพร เทพพฤกษ์ ผู้ประสานงานโครงการพัฒนาศักยภาพทางสังคม สำนักงานประสานความร่วมมือฯ โทรศัพท์ : 0-591-3422 โทรสาร : 0-2591-1312 E-mail : [email protected]จบ--

ข่าวสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย+สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศวันนี้

ส.อ.ท. ผนึกภาครัฐ-เอกชน-นักวิจัย จัด BIOTEC FTI Forum ดันเทคโนโลยีชีวภาพสร้างอนาคตเศรษฐกิจไทย

กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จัดสัมมนาวิชาการ BIOTEC FTI Forum ครั้งที่ 6 ภายใต้หัวข้อ "Biotech Frontiers: Converging Sciences, Empowering the Future Economy" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Thailand Lab International 2025 โดยได้รับเกียรติจากนายโฆสิต สุวินิจจิต ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายปิยพงศ์ ชูวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และนายสุจินต์ วาจากิจ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ โดยมีนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. ให้

บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO... "SMO" ห่วงใยสุขภาพพนักงานและชุมชน จัดโครงการตรวจสุขภาพประจำปี — บริษัท กลุ่มสมอทอง จำกัด (มหาชน) หรือ SMO จัดโครงการตรวจสุขภาพประจำปี ให้แก่พนักงานและประช...

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมห... ส.อ.ท. ผนึกกำลังมหาวิทยาลัยมหิดล ปั้นบุคลากรขั้นสูง ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมชีวการแพทย์และสุขภาพ — สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่ว...

ส.อ.ท. ผนึก 4 พันธมิตร เปิดตัวโครงการ aFTi ดันกำลังคน AI หนุนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่อนาคตดิจิทัล

ส.อ.ท. ผนึกกำลัง 4 องค์กรชั้นนำ ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AIEI) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และบริษัท อเมซอน เว็บ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย)...