ผลการทดสอบทารกชาวอเมริกันพื้นเมืองซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงเผย "โมตาไวซูแม็บ" ของ เมดอิมมูน ช่วยให้ผู้ป่วย RSV เข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลลดลง 83% เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

เกตเตอร์สเบิร์ก, แมรี่แลนด์--24 ส.ค.--พีอาร์นิวส์ไวร์-เอเชียเน็ท/อินโฟเควสท์


เมดอิมมูน อิงค์ (MedImmune, Inc.) ได้ทำการศึกษาระยะที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบยาโมตาไวซูแม็บ (Motavizumab) กับยาหลอก (ยาที่มีผลทางจิตใจแต่ไม่มีฤทธิ์ยาในการรักษา หรือ placebo) ซึ่งหลังจากสิ้นสุดการศึกษาได้มีการวัดผลโดย primary endpoint ปรากฏว่า ยาโมตาไวซูแม็บมีประสิทธิภาพในการลดการเจ็บป่วยที่เกิดจากไวรัสทางเดินหายใจ (RSV) ลงได้กว่า 83% เมื่อเทียบกับการใช้ยาหลอก (ลดลงเหลือ 8.3% สำหรับการใช้ยาหลอก และ 1.4% สำหรับโมตาไวซูแม็บ, p < 0.001) นอกจากนั้น ผลการทดสอบซึ่งวัดผลโดย secondary endpoint ยังแสดงให้เห็นว่ายาดังกล่าวสามารถลดการติดเชื้อเฉียบพลันของระบบทางเดินหายใจส่วนปลาย (LRIs) ซึ่งเกิดจากเชื้อ RSV ลงได้ 71% ในการทดสอบกับผู้ป่วยนอก (ลดลงเหลือ 9.5% สำหรับกลุ่มที่ใช้ยาหลอก และ 2.8% สำหรับกลุ่มที่ใช้โมตาไวซูแม็บ, p < 0.001)

โมตาไวซูแม็บ เป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะ (MAb) ซึ่งได้รับการประเมินผลว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้ายแรงที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ในผู้ป่วยที่เป็นทารก การทดสอบในระยะที่ 3 นี้เป็นการทดสอบเต็มรูปแบบกับทารกชาวอเมริกันพื้นเมืองอายุต่ำกว่า 6 เดือน จำนวน 1,410 คน จากการศึกษาก่อนหน้านี้ระบุว่าประชากรกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุดที่จะเกิดการเจ็บป่วยเพราะไวรัส RSV จนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

การศึกษาแบบสุ่ม (2: 1) โดยที่ทั้งอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าอาสาสมัครใช้ยาที่มีฤทธิ์จริงหรือใช้ยาที่มีเพียงผลต่อจิตใจ (Double-blind study) ถูกออกแบบมาเพื่อเปรียบเทียบการฉีดโมตาไวซูแม็บและยาหลอกเข้าสู่กล้ามเนื้อในแต่ละเดือน จากการวิเคราะห์ระหว่างการทดสอบโดยคณะกรรมการตรวจสอบความปลอดภัยข้อมูลของเอกชนแสดงให้เห็นว่า โมตาไวซูแม็บทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลลดลงและลดการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนปลายซึ่งเกิดจากเชื้อ RSV ได้จริง โดยมี รศ. ดร. เคท โอไบรอัน จากศูนย์สุขภาพชนเผ่าอินเดียนแดงแห่งอเมริกา ของโรงเรียนสาธารณสุข จอห์นส ฮอปกินส์ บลูมเบิร์ก เป็นผู้ตรวจสอบการทดสอบดังกล่าว

"เรายินดีกับผลลัพธ์ที่ออกมา ซึ่งช่วยสนับสนุนผลในเชิงบวกจากการทดสอบเปรียบเทียบโมตาไวซูแม็บกับซินเนจิส (Synagis) (หรือพาลีไวซูแม็บ - Palivizumab) ซึ่งมีการรายงานผลในการประชุมสมาคมวิชาการกุมารเวชศาสตร์ เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา" ดร.เจเนวีฟ โลซอนสกี รองประธานฝ่ายพัฒนาด้านคลินิก แผนกโรคติดเชื้อ บริษัทเมดอิมมูน กล่าว

โมตาไวซูแม็บมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อไวรัสในทารกชาวอเมริกันพื้นเมืองซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงได้เป็นอย่างดี โดยมีจำนวนครั้งและความรุนแรงของการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เท่าๆกันระหว่างกลุ่มที่ใช้โมตาไวซูแม็บและกลุ่มที่ใช้ยาหลอก ระดับการเสียชีวิตของทั้งสองกลุ่มก็แทบไม่มีความแตกต่างกัน (0.4% ในกลุ่มที่ใช้ยาหลอก, n = 2 และ 0.3% ในกลุ่มที่ใช้โมตาไวซูแม็บ, n = 3) นอกจากนั้น การเกิดผื่นคันบนผิวหนังภายใน 2 วันหลังได้รับยาโมตาไวซูแม็บก็มีจำนวนเพียง 1% เท่านั้น

ความรับผิดชอบของเมดอิมมูนในการป้องกันการเจ็บป่วยที่เกิดจากไวรัส RSV

เมดอิมมูน เป็นผู้นำของโลกด้านการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ในการป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัส RSV ในปี 2539 เมดอิมมูนได้เปิดตัวยาต้านไวรัส RSV ตัวแรกในนาม เรสไพแกม (RespiGam) (โปรตีนโกลบูลินในเส้นเลือดดำซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันไวรัสทางเดินหายใจในมนุษย์) ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะที่สามารถให้ผ่านทางเส้นเลือดดำเป็นเวลา 4 ชั่วโมง หลังจากนั้นปี 2541 เมดอิมมูนก็เปิดตัวซินเนจิส ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาการฉีดยาเข้าสู่กล้ามเนื้อเพื่อป้องกันโรคที่เกิดจากไวรัส RSV และเป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐ (FDA) ว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาโรคติดเชื้อ นอกจากนั้นเมดอิมมูนยังแสดงความรับผิดชอบในการพัฒนายาต้านไวรัส RSV อย่างต่อเนื่องด้วยการพัฒนาโมตาไวซูแม็บขึ้น ในการทดสอบระยะที่ 3 เพื่อเปรียบกับยาซินเนจิสกับโมตาไวซูแม็บนั้น ข้อมูล primary endpoint ปรากฎว่า โมตาไวซูแม็บสามารถลดการเจ็บป่วยซึ่งเกิดจากไวรัส RSV ในผู้ป่วยทารกซึ่งมีความเสี่ยงสูงได้จริง ส่วนข้อมูล secondary endpoint ปรากฎว่า โมตาไวซูแม็บสามารถลดจำนวนผู้ป่วยนอกที่จะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลได้ นอกจากนั้นเมดอิมมูนยังทำการพัฒนายาซึ่งมีโมเลกุลขนาดเล็ก รวมถึงวัคซีนเพื่อป้องกันไวรัส RSV ด้วย โดยทั้งสองแบบยังอยู่ระหว่างการทดสอบทางคลินิกในระยะแรก

เกี่ยวกับ RSV

ในแต่ละปีมีทารกกว่า 125,000 คนในสหรัฐที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยอาการติดเชื้อ RSV อย่างรุนแรง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนปลายของทารกในสหรัฐอเมริกา โดย RSV เป็นการติดเชื้อในทางเดินหายใจที่พบมากที่สุดในวัยทารกและวัยเด็ก ทารกกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดติดเชื้อ RSV ในช่วงขวบปีแรก และเด็กเกือบทุกคนต้องติดเชื้อ RSV อย่างน้อย 1 ครั้งก่อนจะอายุครบ 2 ขวบ โดยเฉพาะทารกที่คลอดก่อนกำหนดและทารกที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง (CLD) หรือโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด (CHD) จะมีความเสี่ยงสูงมากที่จะติดเชื้อ RSV เกิดป่วยหนักจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล นอกจากนั้นไวรัสตัวนี้ยังอาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยอย่างรุนแรงในกลุ่มอื่นที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คนชรา ผู้ที่เป็นโรคหัวใจและทางเดินหายใจโดยที่ยังไม่รู้ตัว และผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยที่ผ่านการปลูกถ่ายไขกระดูก เป็นต้น)

เกี่ยวกับ โมตาไวซูแม็บ

โมตาไวซูแม็บ หรือในชื่อเดิมว่า นูแม็กซ์ (Numax) เป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะซึ่งได้รับการประเมินผลว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนปลายที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ในผู้ป่วยที่เป็นทารกซึ่งมีความเสี่ยงสูง ข้อมูลจากการทดสอบกับทารกในระยะที่ 1 และ 2 แสดงให้เห็นว่า โมตาไวซูแม็บมีความปลอดภัยและคุณสมบัติทางเภสัชจุลศาสตร์เทียบเท่ากับซินเนจิส โดยเด็กที่ได้รับการรักษาด้วยโมตาไวซูแม็บมีเชื้อ RSV ในระบบทางเดินหายใจส่วนบนลดลง นอกจากนั้นในการทดสอบเบื้องต้นซึ่งเป็นการเปรียบเทียบกับยาซินเนจิสกับโมตาไวซูแม็บ ปรากฎว่าโมตาไวซูแม็บสามารถลดการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากการติดเชื้อ RSV ได้ 26% และสามารถลดการติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนปลายที่เกิดจากเชื้อไวรัส RSV ในผู้ป่วยนอก ได้ 50% ซึ่งเป็นการวัดผลโดย secondary endpoint

เกี่ยวกับ ซินเนจิส

ซินเนจิส เป็นภูมิคุ้มกันจำเพาะเพียงตัวเดียวที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคติดเชื้อ ซินเนจิสได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี 2541, ยุโรปในปี 2542 และญี่ปุ่นในปี 2545 ปัจจุบันซินเนจิสมีวางจำหน่ายใน 62 ประเทศทั่วโลก

ซินเนจิสมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนปลายซึ่งเกิดจากไวรัส RSV ในผู้ป่วยทารกซึ่งมีความเสี่ยงสูง และสามารถนำเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางเส้นเลือดดำ ซินเนจิสมีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการนำไปใช้กับทารกที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง (BPD) ทารกที่มีประวัติการคลอดก่อนกำหนด (คลอดก่อนหรือเท่ากับอายุครรภ์ 35 สัปดาห์) และทารกที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โดยควรมีการให้ยาซินเนจิสกับทารกเป็นครั้งแรกก่อนเข้าฤดูการระบาดของไวรัส RSV ซึ่งปกติจะเริ่มในฤดูใบไม้ร่วงไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ ผู้ป่วยซึ่งรวมถึงผู้ที่ติดเชื้อ RSV ควรได้รับยาอย่างต่อเนื่องทุกเดือนไปตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

ในการใช้ยาซินเนจิส มีผู้ป่วยไม่ถึง 1 ใน 100,000 คน ที่เกิดอาการภูมิแพ้ และไม่ถึง 1 ใน 1,000 ที่เกิดอาการผื่นคัน โดยมีรายงานว่าผู้ป่วยเกิดอาการภูมิแพ้หลังได้รับยาซ้ำ และเกิดอาการผื่นคันอย่างรุนแรงในการรับยาครั้งแรกหรือหลังการรับยาซ้ำ ผู้ป่วยต้องหยุดรับการรักษาด้วยซินเนจิสทันทีที่เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง แต่ถ้าเกิดอาการแพ้เพียงเล็กน้อยก็ควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นในการใช้ยาครั้งต่อไป

ในการทดสอบทางคลินิก เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่มักเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาซินเนจิสมากกว่าในผู้ป่วยกลุ่มควบคุมอย่างน้อย 1% เป็นประจำคือ อาการติดเชื้อในทางเดินหายใจส่วนบน หูอักเสบ มีไข้ และเยื่อจมูกอักเสบ โดยในเด็กที่เป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดจะมีอาการผิวหนังคล้ำจากการขาดออกซิเจนและภาวะหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะร่วมด้วย

การทดสอบยาซินเนจิสซึ่งถูกเรียกว่า IMpact trial เป็นการทดสอบแบบสุ่มกับเด็กทารก 1,502 คน (ยาหลอกในการรักษา 500 คน และ ยาซินเนจิส 1,002 คน) โดยที่ทั้งอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ไม่รู้ว่าอาสาสมัครใช้ยาที่มีฤทธิ์จริงหรือใช้ยาที่มีเพียงผลต่อจิตใจ และมีการติดตามผลเด็ก 1,486 คนจากทั้งหมดอย่างต่อเนื่อง

ในการทดสอบ IMpact trial แสดงให้เห็นว่า การฉีดยาซินเนจิสเข้ากล้ามเนื้อช่วยลดการเจ็บป่วยจากไวรัส RSV (p = <0.001) ลง 55% ซึ่งรวมถึงในเด็กที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง (ลดลง 38%) และเด็กที่คลอดก่อนกำหนดและเป็นโรคปอดเรื้อรังด้วย (ลดลง 78%) ทั้งนี้ มีเด็กกว่า 50% จากทั้งหมดในการทดสอบที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง

สามารถดูข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับซินเนจิสได้ที่เว็บไซต์ http://www.medimmune.com/products/synagis/index.asp

เกี่ยวกับการป้องกันโรค RSV ในต่างประเทศ

แอ๊บบอต (Abbott) บริษัทด้านการดูแลสุขภาพระดับโลกซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐอิลลินอยส์ เป็นผู้จัดจำหน่ายยาซินเนจิสนอกประเทศสหรัฐอเมริกา และได้รับสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการเป็นผู้แทนจำหน่ายยาโมตาไวซูแม็บในสหรัฐอเมริกาด้วย

เกี่ยวกับ เมดอิมมูน อิงค์

เมดอิมมูน มุ่งมั่นจัดหายาที่มีคุณภาพและตัวยาใหม่ๆให้กับผู้ป่วยและแพทย์ นอกจากนั้นยังจัดหางานซึ่งมีผลตอบแทนอันคุ้มค่าให้กับพนักงานด้วย บริษัทอุทิศตนให้กับการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเภสัชศาสตร์ โดยเฉพาะในด้านโรคติดเชื้อ โรคมะเร็ง และโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบ เพื่อช่วยให้ผู้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บริษัทมีพนักงานกว่า 3,000 คนทั่วโลกและมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐแมรี่แลนด์ โดยมี แอสตราเซเนกา (AstraZeneca plc) (LSE: AZN.L, NYSE: AZN) เป็นบริษัทแม่ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ http://www.medimmune.com

แหล่งข่าว: เมดอิมมูน อิงค์

ติดต่อ: สำหรับสื่อ

ธอร์ คอนสแตนติโน่

โทร: +1-301-398-5801

หรือ

สำหรับนักลงทุน

ปีเตอร์ วอซโซ

โทร: +1-301-398-4358

เว็บไซต์: http://www.medimmune.com

--เผยแพร่โดย เอเชียเน็ท ( www.asianetnews.net )--


ข่าวเมดอิมมูน อิงค์+การป้องกันโรควันนี้

โรงพยาบาลไทยนครินทร์จัดงาน "Health is the New Luxury - สุขภาพดีอย่างมีระดับ" อัปเดตเทรนด์ดูแลกระดูก ข้อต่อ การป้องกันโรคมะเร็ง และสุขภาพแบบองค์รวม

เมื่อวันพุธที่ 10 ธันวาคม 2568 โรงพยาบาลไทยนครินทร์ ร่วมกับ Bone & Body Wellness Center จัดงาน "Health is the New Luxury สุขภาพดีอย่างมีระดับ" เพื่อนำเสนอมุมมองใหม่ของการดูแลสุขภาพในยุคที่ "สุขภาพดี" คือความหรูหราที่ทุกคนเข้าถึงได้ พร้อมอัปเดตแนวทางดูแลกระดูก ข้อต่อ การป้องกันโรคมะเร็ง และสุขภาพองค์รวมแบบครบทุกมิติ โดยได้รับเกียรติจาก คุณทศพร สิหนาทกถากุล กรรมการบริษัท โรงพยาบาลไทยนครินทร์ จำกัด (มหาชน) และ Executive Director of Landmark Lancaster Hotel Group เป็นประธานกล่าวเปิดงาน ร่วมด้วย ศ

ออมรอน เฮลธแคร์ จำหน่ายเครื่องวัดความดันโลหิต ทะลุ 400 ล้านเครื่อง

บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ จำกัด - ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด และการตรวจวัดความดันโลหิตที่บ้าน - บริษัท ออมรอน เฮลธแคร์ จำกัด (OMRON HEALTHCARE Co., Ltd.) ผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับการดู...

ปกป้องสุขภาพสัตว์เลี้ยงตั้งแต่วันนี้ ด้วย... ศูนย์เวชกรรมป้องกันในสัตว์เลี้ยง (Preventive Medicine Center for Pets) ของศูนย์การสัตวแพทย์ PKAH รังสิต — ปกป้องสุขภาพสัตว์เลี้ยงตั้งแต่วันนี้ ด้วยโปรแกรม...