พรีเมียร์ เคาะราคาขายหุ้น 3.10 บาท

14 May 2008

กรุงเทพฯ--14 พ.ค.--บ้านพีอาร์

บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นขายไอพีโอ 3.10 บาท พร้อมเซ็นสัญญาแต่งตั้งโบรกเกอร์ผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ

ดร.สมชาย ชุณหรัศมิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเมียร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) (PM) เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปในครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท โดยจะเปิดขายหุ้นสามัญจำนวน 215 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ระหว่างวันที่ 14-16 พ.ค.นี้ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด(มหาชน) เป็นแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย และมีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จํากัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินในครั้งนี้

พร้อมกันนี้ บริษัทได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ ผู้ร่วมจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), และบริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด เป็นตัน

ดร.สมชาย กล่าวว่า หุ้น PM จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ในวันที่ 27 พ.ค.นี้ จัดอยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งนี้ราคาขายที่หุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็น PE Ratio ในปีนี้ที่ 8.1 เท่า และเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน เนื่องจากจุดแข็งของบริษัท คือ การมีแบรนด์สินค้าของตัวเองที่ประสบความสำเร็จมาเป็นเวลานาน เช่น ปลาสวรรค์ทาโร และลูกอมคอริฟีน-ซี เป็นต้น โดยเฉพาะปลาสวรรค์ทาโร ถือเป็นสินค้าหลักของบริษัทครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 68.5% ทิ้งห่างคู่แข่ง ซึ่งมีมาร์เก็ตแชร์ประมาณ 15% และปลาสวรรค์ทาโรยังคิดเป็น 60% ของยอดขายสินค้าอุปโภคทั้งหมดของ PM หรือคิดเป็น 35% ของยอดขายรวมของบริษัท สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมปลาเส้นยังเติบโตประมาณ 10% ในปี 2551 นี้ ส่งผลให้มูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นจาก 1,304 ล้านบาทในปี 2550 เป็น 1,434 ล้านบาทในปี2551

นอกจากนี้ บริษัทมีช่องทางจำหน่ายที่แข็งแกร่งในตลาดผ่านร้านค้าสมัยใหม่ แบบดั้งเดิม และรถขายเงินสด โดยเฉพาะร้านค้าปลีกรายย่อย 30,000 รายทั่วประเทศ ซึ่งตอบสนองการกระจายสินค้าได้อย่างกว้างขวาง รวมทั้งความร่วมมือกับพันธมิตรและการหาคู่ค้า ที่มีเป้าหมายในระยะยาวร่วมกันจะเป็นส่วนสนับสนุนให้มูลค่าเพิ่มของหุ้นบริษัทสูงขึ้นได้ในอนาคต

ด้านผลการดำเนินงานของบริษัท มีกำไรที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปี ย้อนหลังเติบโตเฉลี่ย 10% โดยปี2550 มีรายได้ 2,794 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากปี 2549 ที่มีรายได้ 2,459 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิในปี 2550 มีจำนวน 207 ล้านบาท เติบโต 40% จากปี 2549 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 148 ล้านบาท และปี 2548 มีกำไรสุทธิ 96 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรจะเติบโตกว่า 10% อย่างน้อย 3-5 ปี

ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ปลาทูน่าสำเร็จรูป ซึ่งดำเนินธุรกิจภายใต้ บริษัท พรีเมียร์ แคนนิ่ง อินดัสตรี้ (PCI) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ PM นั้น มียอดขายประมาณ 54% ของยอดขายผลิตภัณฑ์ปลาทูน่ารวมทั้งหมดเป็นการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเกือบแทบทั้งสิ้น ตามคำสั่งซื้อจาก Nichimo ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ PCI มาเป็นเวลากว่า 10 ปี ในการนำผลิตภัณฑ์ของ PCI ที่ผลิตและบรรจุกระป๋องแล้วไปจำหน่ายต่อในประเทศญี่ปุ่น

สำหรับเงินที่ได้จากการขายหุ้น จะนำไปปรับโครงสร้างเงินทุนของบริษัท โดยส่วนหนึ่งจะนำไปชำระเงินกู้ยืมของบริษัทและบริษัทย่อย และ ส่วนเงินที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในธุรกิจ ซึ่งจะทำฐานะทางการเงินของบริษัทแข็งแกร่ง ส่วนขาดทุนสะสมที่มีอยู่ประมาณ 500 ล้านบาท บริษัทคาดว่าจะล้างขาดทุนสะสมได้หมดภายในปีนี้ และจะทำให้บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ โดยกำหนดอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ โดยหลังเสนอขายหุ้น IPO จะส่งผลให้ทุนจดทะเบียนและชำระแล้วเป็น 650 ล้านบาท โดยหุ้น IPO คิดเป็น 33.08% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว

สื่อมวลชนสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่

บริษัท บ้านพีอาร์ จำกัด

คุณปิยวรรณ อนันต์เวทยานนท์

โทร. 0-2292-9383 มือถือ 081 944-1972

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net