Movie: I AM NUMBER 4 ปฏิบัติการล่าเหนือโลกจอมพลังหมายเลข 4

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--27 ม.ค.--Walt Disney Studios Motion Pictures

I AM NUMBER 4 ปฏิบัติการล่าเหนือโลกจอมพลังหมายเลข 4 17 กุมภาพันธ์ 2554 ในโรงภาพยนตร์ ผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากดรีมเวิร์คส์ สตูดิโอส์ I Am Number Four จากการกำกับโดยดี.เจ. คารูโซและนำแสดงโดยอเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์, ทิโมธี โอลีเฟนท์, เทเรซ่า พาล์มเมอร์, ไดแอนน่า อาร์กอน, คัลลัน แม็คออลีฟและเควิน ดูแรนด์ ไมเคิล เบย์รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างและเดวิด วัลเดส, คริส เบนเดอร์และเจ.ซี. สพิงค์รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง บทภาพยนตร์ดัดแปลงโดยอัลเฟรด กัฟและไมลส์ มิลลาร์ ร่วมกับมาร์ตี้ น็อกสัน จากนิยายโดยพิททาคัส ลอร์ที่ติดอันดับเบสต์เซลเลอร์ของนิวยอร์ก ไทม์ I Am Number Four เป็นทริลเลอร์ลุ้นระทึกเกี่ยวกับจอห์น สมิธ (อเล็ก เพ็ตติเฟอร์) เด็กหนุ่มไม่ธรรมดา ผู้ต้องหลบหนีการไล่ล่าจากศัตรูอำมหิตที่ถูกส่งมากำจัดเขา จอห์นต้องเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนาม และย้ายหลักแหล่งอยู่เสมอๆ พร้อมกับเฮนรี่ (ทิโมธี โอลิเฟนท์) ผู้พิทักษ์ของเขา ทำให้เขาได้เป็นเพียงแค่เด็กใหม่ ที่ไร้ความผูกพันกับอดีต และในเมืองโอไฮโอเล็กๆ ที่เป็นบ้านของเขาในขณะนี้ จอห์นได้พบกับเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตเขาไปอย่างไม่คาดคิด ทั้งรักแรกของเขา (ไดแอนน่า อาร์กอน) พลังพิเศษใหม่ๆ และความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่มีชะตากรรมเหลือเชื่อเช่นเดียวกับเขา ในตอนที่ I Am Number Four เข้าฉายในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ ปี 2011 แน่นอนว่าผู้ชมจะได้สัมผัสกับประสบการณ์ภาพยนตร์ลุ้นระทึกที่นำเสนอตัวละครที่น่าติดตาม ซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในชีวิตไฮสคูลที่เราคุ้นเคยกันดี แต่พวกเขาก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันกับการถูกตามไล่ล่าที่แสนอันตราย ความตื่นเต้นลุ้นระทึกแบบคลาสสิกของเรื่องจะดึงผู้ชมให้เข้าสู่โลกของทริลเลอร์เรื่องนี้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่องจนถึงฉากไคลแมกซ์ จอห์น สมิธ ตัวละครเอก จะต้องรับมือกับเรื่องที่ว่า คนที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นกับคนที่ตัวเขาเป็นนั้นจริงๆ แล้วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง และเขาก็ต้องตัดสินใจว่าจะยอมรับชะตากรรมของตัวเองหรือไม่ รวมไปถึงการเสียสละที่ตามมาด้วย อย่างที่ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์พูดเอาไว้ว่า “หมายเลขสี่มีชะตากรรมที่รอเขาอยู่ ไม่ว่าเขาจะอยากเผชิญหน้ากับมันหรือไม่ก็ตาม ดรามาของหนังเรื่องนี้มาจากตรงนั้นครับ เด็กหนุ่มคนนี้ในที่สุดก็พบสิ่งที่เขาตามหา แต่เขาก็ไม่อาจครอบครองมันได้เพราะเขาจะต้องช่วยโลกก่อนน่ะครับ” ในขณะเดียวกัน จอห์นก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดา ที่ชอบทำตัวล้ำเส้น และท้าทายเฮนรี่ ผู้พิทักษ์ของเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยไม่ทันตระหนักถึงผลของมัน มันเป็นดรามาชีวิตจริง ที่มีความเสี่ยงสูง เรื่องราวตื่นเต้นที่ให้ความสำคัญกับตัวละครเรื่องนี้จะทำให้ผู้ชมลุ้นจนนั่งไม่ติดที่ อย่างที่ผู้กำกับดี.เจ. คารูโซอธิบายว่า “ยิ่งคุณแคร์ตัวละครตัวนั้นมากแค่ไหน พอคุณจับพวกเขาเข้าไปอยู่ในสถานการณ์บีบคั้นหัวใจ มันก็จะยิ่งสมจริงและน่าหวั่นสะพรึงมากขึ้นเพราะคุณจะเอาใจช่วยตัวละครตัวนั้นจริงๆ ครับ” คารูโซพบว่าการผสมผสานดรามาชีวิตจริงที่ตัวละครพบเจอใน I Am Number Four เข้ากับความสามารถเหนือมนุษย์ของพวกเขา และรักษาระดับ “ความสมจริง” ของมันเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานและเป็นความท้าทายสำหรับเขาในฐานะผู้กำกับ “สิ่งที่ผมชื่นชอบมากที่สุดคือการรักษาดรามาให้สมจริงเพื่อที่ว่าพอเรื่องมหัศจรรย์เกินจริงเกิดขึ้น คุณก็ยังเข้าใจมันได้ในระดับของความเป็นมนุษย์ครับ” เขาบอก “ถ้าคุณใช้ฉากโลกแห่งความเป็นจริงกับพื้นฐานเรื่องเหนือมนุษย์ บวกกับตัวละครที่โหยหาความรักและชีวิตปกติสุข คุณจะได้ส่วนผสมที่น่าสนใจขององค์ประกอบดรามาที่แปลกต่างทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ที่จะนำไปสู่หนังที่น่าตื่นเต้นครับ” --ดี. เจ. คารูโซ ผู้กำกับ ผู้กำกับเซ็นสัญญา ผู้กำกับดี.เจ. คารูโซ (Eagle Eye, Disturbia) ได้ทำงานร่วมกับสตีเวน สปีลเบิร์กและดรีมเวิร์คส์มานานแล้ว เขาก็เลยตื่นเต้นมากที่ได้กำกับ I Am Number Four “การร่วมงานระหว่างผมกับดรีมเวิร์คส์เริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่ผมกำกับซีรีส์เรื่อง High Incident ครับ” คารูโซอธิบาย “หลายปีให้หลัง เราก็ได้ร่วมงานกันอีกใน Disturbia ก่อนที่จะร่วมกันทำ Eagle Eye ซึ่งเป็นการร่วมงานที่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวดรีมเวิร์คส์ และมันก็กลายเป็นบ้านของผมในฐานะผู้กำกับครับ” I Am Number Four เป็นภาพยนตร์เอฟเฟ็กต์ฟอร์มยักษ์ที่สุดเท่าที่คารูโซเคยสร้างมาและเขาก็พบว่าประสบการณ์ของไมเคิล เบย์ในฐานะผู้กำกับภาพยนตร์ฮิต Transformers และ Armageddon มีประโยชน์อย่างยิ่ง “ไมเคิลคอยช่วยเหลือเราในการเตรียมพร้อมถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในกองถ่ายเมื่อคุณต้องใช้ตัวละคร CG ครับ” คารูโซอธิบาย ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์ก็ชื่นชมผู้กำกับของเขาไม่แพ้กัน “ดี.เจ. มีความสามารถเหลือเชื่อในการเข้าถึงความเป็นจริงในชีวิตของตัวละครรุ่นเยาว์ของเขาได้ มันไม่ง่ายเลยนะครับที่จะทำให้เด็กต่างดาวที่มีพลังเหนือมนุษย์สมจริง เป็นฮีโรจริงๆ ที่ผู้ชมจะเข้าถึงได้น่ะครับ” คารูโซสนใจเรื่องราวของ I Am Number Four ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวละคร จอห์น สมิธ ที่รับบทโดยอเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ ““ในตอนที่ดรีมเวิร์คส์ส่งบทเรื่องนี้มาให้ผม” คารูโซ เล่า “ผมสนใจมันจากจุดยืนของตัวละคร เด็กหนุ่มที่ย้ายไปมาบ่อยๆ ไม่ตั้งหลักแหล่งที่ไหน และพยายามหาคำตอบว่าตัวเองคือใคร ในขณะเดียวกัน เขาก็มีชะตากรรมที่ซ่อนเร้นอยู่ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องราวที่เจ๋งจริงๆ” ส่วนเบย์สนใจเนื้อเรื่องที่แปลกประหลาดของเรื่องราว “ผมสนใจเรื่องราวเกี่ยวกับคนธรรมดาที่ถูกบีบให้ต้องเจอสถานการณ์พิสดารเสมอครับ หมายเลขสี่เกือบจะตรงกันข้าม เขาเป็นคนพิเศษที่อยากจะมีชีวิตธรรมดาเหนือสิ่งอื่นใดครับ” เขาบอก คารูโซยอมรับว่าเขาสนใจในตัวละครที่กำลังเจอกับช่วงเวลาที่มืดหม่น “ท่ามกลางความมืดมิดนั้น พวกเขาหาคำตอบได้ว่าแสงสว่างอยู่ที่ไหน และพวกเขาก็พบสิ่งดีๆ บางอย่าง สิ่งที่ผมชอบนำเสนอก็คือความคิดที่ว่าคุณจะต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายบางอย่างเพื่อที่จะเติบโตขึ้นและพบว่าตัวเองเป็นใคร และธีมแบบนั้นก็ปรากฏในหนังเรื่องนี้เช่นกันครับ” “ตอนที่ผมได้อ่านต้นฉบับของหนังสือเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ผมก็รู้ว่ามันจะกลายเป็นหนังชั้นเยี่ยมได้ มันมีการหักมุมจากคอนเซ็ปต์คลาสสิก และมีการผสมผสานกันระหว่างความสมจริงและแอ็คชั่นที่ลงตัวครับ”-- ไมเคิล เบย์ ผู้อำนวยการสร้าง นักแสดงและตัวละคร ทีมผู้สร้างตื่นเต้นที่ได้รวบรวมนักแสดงสำหรับ I Am Number Four ที่จะนำเสนอพลังงานและความเข้มข้นของตัวละครที่ถูกรังสรรค์ขึ้นอย่างดี หน้าที่แรกของทีมงานก็คือการหาผู้ที่จะมารับบทจอห์น สมิธ หรือหมายเลขสี่ คารูโซรู้ดีว่าเขาต้องการคนที่เข้มแข็ง แต่ก็มีแง่มุมอ่อนไหวสำหรับบทนี้ “ความสามารถพิเศษของจอห์นทำให้เขาแตกต่างอย่างมากกับเด็กคนอื่นๆ ในโรงเรียน ซึ่งก็เลยทำให้เขาเข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้” คารูโซบอก “วัยรุ่นหลายคนเข้าใจเรื่องนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเด็กที่ต้องย้ายที่อยู่ในช่วงอายุนั้นน่ะครับ” เขากล่าวเสริม “การพยายามจะทำตัวให้เข้ากับระบบไฮสคูลเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคน มันมีแง่มุมที่เป็นสากลบางอย่างในตัวละครของเขาที่ผู้ชมจะเข้าถึงได้เพราะแม้ว่าเขาจะไม่ใช่มนุษย์ แต่อารมณ์ที่เขารู้สึกก็เป็นเรื่องที่วัยรุ่นทั่วๆ ไปจะพบเจออยู่แล้ว” ทีมผู้สร้างใช้เวลานานหลายสัปดาห์เพื่อมองหานักแสดงที่จะมีทัศนคติและรูปร่างหน้าตาเหมาะกับการสวมบทจอห์น สมิธ ในตอนที่อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ทดลองอ่านบทครั้งแรก ดี.เจ. คารูโซก็รู้ว่า เขาคือคนพิเศษ “ผมรู้สึกได้ว่าอเล็กซ์มีพรสวรรค์พิเศษจริงๆ” คารูโซกล่าว “ถึงเขาจะน่าสนใจ มีเสน่ห์และมีพลังล้นเหลือยังไงก็ตาม เขาก็มีความเปราะบางอย่างเหลือเชื่อที่จะเวิร์คสำหรับตัวละครตัวนี้ ผมคิดว่ามันจะทำให้ผู้ชมตกหลุมรักเขาครับ” ผู้อำนวยการสร้างไมเคิล เบย์ พูดถึงเพ็ตติเฟอร์ว่า “ผมจับตามองอเล็กซ์มานานแล้ว เขามีเสน่ห์และรูปร่างที่ดีมากๆ ในฐานะหมายเลขสี่แล้ว เขาได้ใส่เอาทั้งความแข็งแกร่งและความเปราะบางเข้าไปในแบบที่มีนักแสดงรุ่นเยาว์ไม่กี่คนจะทำได้ครับ” อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ยินดีกับการรับบทจอห์น สมิธด้วยเหตุผลสองประการด้วยกัน ประการแรกคือความต้องการจะร่วมงานกับดี.เจ. คารูโซของเพ็ตติเฟอร์ “ดี.เจ.เหลือเชื่อเลยครับ” เขาอธิบาย “ผมเล่นหนังเรื่องนี้ก็เพราะผมคิดว่าเขามีวิสัยทัศน์ที่น่าทึ่ง เขานำบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างเข้ามา เขาใส่เอาไซไฟเข้าไปในโลกและทำให้มันสมจริงครับ” เพ็ตติเฟอร์กล่าว ประการที่สองคือเรื่องราวและบท “มันมีเนื้อเรื่องที่เจ๋งจริงๆ ครับ” เพ็ตติเฟอร์อธิบาย “จอห์น สมิธมาถึงจุดหนึ่งในชีวิตที่เขาต้องตัดสินใจเลือก และปัญหาของเขาก็คือเขาอยากจะเป็นแค่เด็กธรรมดาๆ แต่เขามีชะตากรรมที่ต้องกลายเป็นนักรบ ในตอนแรก เขาไม่เต็มใจเลย และมีท่าที 'ดื้อไร้เหตุผล' แบบเจมส์ ดีน เขามีอารมณ์ในแบบที่คุณรู้สึกว่าสามารถจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ” “จอห์นพยายามหาคำตอบว่าเขาเป็นใครและเขาต้องการทำอะไรกับชีวิต” เพ็ตติเฟอร์กล่าวต่อ “เด็กหลายคนจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพบเจอในเรื่อง ซึ่งก็คือการเป็นแกะดำที่พยายามจะทำตัวเข้ากับพวกน่ะครับ” คารูโซเลือกไดแอนน่า อาร์กอน ให้รับบทซาราห์ ซึ่งเป็นบทสำคัญ แต่เขากลับไม่ได้รู้จักเธอจากการดูซีรีส์รางวัลเอ็มมีเรื่อง Glee “ผมไม่ค่อยได้ดูโทรทัศน์หรอกครับ” คารูโซบอก “เธอเข้ามาทดลองอ่านบทช่วงท้ายๆ แล้ว และเธอก็ทำเอาผมอึ้งไปเลย เธอมีพลังงานล้นเหลือ ฉลาดและสวยด้วย ผมคิดว่าเธอน่าจะตรงกันข้ามกันดีกับอเล็กซ์ ด้วยบุคลิกที่แตกต่างกันสุดๆ และปฏิกิริยาเคมีที่ทั้งคู่มีระหว่างกันน่ะครับ” “ซาราห์เองก็เป็นแกะดำเหมือนกันครับ เพราะแม้ว่าเธอจะเป็นคนสวยและเคยป็อปปูลาร์ แต่เธอก็ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เธอไม่ป็อปปูลาร์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นซาราห์ก็เลยนั่งอยู่ด้านนอก และจอห์นก็นั่งอยู่ด้านนอกเหมือนกัน พวกเขาเจอสิ่งที่พวกเขามีเหมือนๆ กัน” – ดี.เจ. คารูโซ ผู้กำกับ ไดแอนน่า อาร์กอนถูกใจบทภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที “สิ่งที่ฉันชอบในเรื่องนี้ก็คือการที่เด็กๆ มีความเป็นผู้ใหญ่สูงและฉลาดเกินอายุทีเดียวค่ะ” อาร์กอนอธิบาย “พวกเขาอาจจะไม่ใช่พวก 'เด็กเจ๋ง' หรือเป็นคนที่ทำกิจกรรมแบบวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่พวกเขาก็มีคุณธรรม และมีสปิริต พวกเขาได้ร่วมผจญภัยที่แสนวิเศษสุดร่วมกันค่ะ” “แล้วฉันก็ชอบซาราห์” อาร์กอนเล่าต่อ “เธอมีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายฉันสมัยเรียน ฉันชอบการถ่ายภาพและฉันก็หลงใหลมันมากระหว่างไฮสคูล ฉันได้ถ่ายภาพลงหนังสือรุ่นด้วยนะคะ” ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ซาราห์รู้สึกหลงใหลจอห์นในทันที “จอห์นเป็นคนที่ค่อนข้างแปลก และพวกเขาก็มีความผูกพันกันอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกค่ะ” อาร์กอนบอก “และมันก็ยิ่งลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่โรแมนติกมากๆ มันเป็นความรักแบบคนหนุ่มสาว ที่ไม่แปดเปื้อนด้วยความกลัวใดๆ ด้วยความที่คุณไม่เคยอกหักซักห้าร้อยหนน่ะค่ะ” คารูโซต้องการคนที่พิเศษสุดมารับบทหมายเลขหก เธอคนนั้นจะต้องสามารถรับมือกับงานแสดงผาดโผนสาหัสที่จำเป็นสำหรับบทนี้ได้ และหลังจากค้นหาอยู่นาน เขาก็พบนักแสดงสาวเทเรซ่า พาล์มเมอร์ (Bedtime Story, Grudge 2, Sorcerer’s Apprentice “หมายเลขหกเป็นตัวละครที่ทรงพลัง มืดหม่นและลึกลับจริงๆ ครับ” คารูโซบอก “เทเรซ่าถ่ายทอด 'ความมั่นใจที่เซ็กซี' ที่จำเป็นต่อบทบาทนี้ออกมาได้ เธอมีพลังงานล้นเหลือในแบบที่ทำให้ผมทึ่งทุกครั้งที่เธออ่านบทให้ผมฟังครับ” พาล์มเมอร์พูดถึงตัวละครของเธอว่า “หมายเลขหกทั้งน่ากลัวและมีเสน่ห์ ซึ่งก็ทำให้ไม่สามารถประมาทเธอได้เลย เธอเคยชินกับการเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งก็ทำให้เธอเป็นตัวละครที่ลึกลับซับซ้อนมากๆ เธอมีทักษะการต่อสู้ จังหวะจะโคนและน้ำหนักหมัดของเธอทั้งรุนแรงและชาญฉลาด ซึ่งทำให้เธอเป็นคนที่มีค่าอย่างยิ่งในการต่อสู้ค่ะ” พาล์มเมอร์ตั้งข้อสังเกตว่า หมายเลขหกเป็นตัวละครที่ซับซ้อน “เธอเตรียมตัวสำหรับสงครามมาตลอดทั้งชีวิตและมีความชำนาญเรื่องศิลปะการต่อสู้และการฟันดาบสูง แต่เธอก็เป็นคนแปลกแบบเงียบๆ น่ะค่ะ บทนี้เป็นบทที่น่าตื่นเต้นและแตกต่างจากทุกบทบาทที่ฉันเคยเล่นมาเลยล่ะ” พาล์มเมอร์บอก “ฉันเข้าออดิชันด้วยสำเนียงออสเตรเลียของฉันเอง” พาล์มเมอร์เล่า “ฉันคิดว่าพวกเขารู้สึกไม่มั่นใจกับมันในตอนแรก แต่พอเราคุยกันแล้ว มันก็ดูเหมือนจะเมคเซนส์ เด็กๆ ทั้งเก้าคนไม่จำเป็นจะต้องถูกส่งตัวมาที่อเมริกาซักหน่อย มันคงอันตรายเกินไป มันคงเป็นไอเดียที่น่าสนใจมากกว่าที่จะให้พวกเขาอยู่กันคนละประเทศและมีสำเนียงที่แตกต่างกันออกไปน่ะค่ะ” คารูโซได้เลือกทิโมธี โอลีเฟนท์ (Justified และ Live Free or Die Hard) ให้รับบทเฮนรี่ ผู้พิทักษ์ของจอห์น “จริงๆ แล้ว ทิโมธีเป็นคนมีพลังงานล้นเหลือและมีจังหวะการแสดงที่น่าทึ่งครับ” คารูโซบอก “มันเป็นเรื่องวิเศษสุดที่ได้เห็นสิ่งที่เขาทำกับบทเฮนรี่และได้เห็นเขาแสดงร่วมกับอเล็กซ์ มันไม่เหมือนกับความสัมพันธ์พ่อ-ลูกทั่วๆ ไป แต่เป็นเหมือนพี่ชายหรือลุง ที่ไม่รู้จะรับมือกับเด็กยังไงมากกว่าครับ” “ตัวละครของผมมีความเปลี่ยนแปลงในหนังเรื่องนี้ครับ” โอลีเฟนท์อธิบาย “ในตอนเริ่มต้น เฮนรี่เป็นผู้พิทักษ์จากดาวเคราะห์ลอเรียน หน้าที่ของเขาคือการคุ้มครองเด็กพิเศษคนนี้ระหว่างที่เขาเติบโตขึ้นมาบนโลก และเมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป ความสามารถพิเศษของจอห์นก็เริ่มพัฒนาขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เฮนรี่ช่วยให้เขาเข้าใจว่าชะตากรรมของตัวเองคืออะไรครับ” โอลีเฟนท์พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเฮนรี่กับจอห์นว่า “ผมคิดว่ามันเป็นความตึงเครียดที่วิเศษสุด ตรงที่ว่าเฮนรี่รักจอห์น แต่บางครั้ง เขาก็อยากจะบีบคอจอห์น ถ้าเราถ่ายทอดออกมาได้ดีล่ะก็ คุณก็จะเห็นได้ว่าเฮนรี่เป็นตัวละครที่กวนนิดๆ และอันตรายด้วย แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็จะเห็นได้ว่าเขาแคร์จอห์นจริงๆ ครับ” นอกเหนือจากความสนุกในการรับบทเฮนรี่แล้ว โอลีเฟนท์ยังมีประสบการณ์ดีๆ กับผู้กำกับดี.เจ. คารูโซอีกด้วย “ดี.เจ.เป็นผู้ชายที่มีรสนิยมและเป็นผู้กำกับมือทองครับ” เขาบอก “เราได้พูดคุยกันอย่างถูกคอ และผมก็รู้สึกเหมือนว่าเราเข้าใจตรงกันตั้งแต่ต้น ผมทำตามสัญชาตญาณว่าผมอยากจะทำอะไรและเขาก็ตอบสนองในแง่บวกมากๆ” คัลลัน แม็คออลีฟกำลังจะขึ้นเครื่องบินกลับบ้านที่ออสเตรเลียหลังจากเสร็จจากการรับบทนำในภาพยนตร์โดยร็อบ ไรเนอร์เรื่อง Flipped ตอนที่เขาได้รับโทรศัพท์เรียกตัวไปออดิชันในบทของแซม “แซมเป็นคนบอบช้ำทางจิตใจครับ” ผู้กำกับดี.เจ. คารูโซอธิบาย “คัลลันถ่ายทอดอารมณ์ของเขาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาเป็นนักแสดงตามธรรมชาติที่ทั้งตลกและมีเสน่ห์” “แซมติดๆ จะเป็นเนิร์ดแต่ไม่น่าเบื่อครับ เขาเป็นคนแบบที่มักจะโดนแกล้งในโรงเรียนบ่อยๆ” แม็คออลีฟพูดถึงตัวละครของเขา “คนมักเรียกเขาว่า 'สเปซแมน' เสมอ เขาถูกแกล้งตลอดเวลาเพราะเขาสนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาว ซึ่งความสนใจนี้เกิดจากพ่อของเขา ที่อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการศึกษา 'การเผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาว' และถือว่าตัวเองเป็น 'ผู้เชื่อว่ามีนักบินอวกาศสมัยโบราณ' น่ะครับ” แม็คออลีฟกล่าวเสริมว่า “พอแซมรู้ว่าจอห์นเป็นมนุษย์ต่างดาว เขาก็สุขสุดๆ! เขาเชื่อว่าพวกมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวพ่อเขาไปและเขาก็หวังว่านี่อาจเป็นโอกาสให้เขาตามหาตัวพ่อพบก็เป็นได้” เควิน ดูแรนด์รับบทผู้บัญชาการชาวมอกาดอร์ “เควินได้ใส่ธรรมชาติแบบย้อนแย้งเข้าไปในแบบที่ทำให้ตัวละครตัวนี้อันตราย แต่ก็มีเสน่ห์ครับ” คารูโซบอก “เขามีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงจังหวะจะโคนของซีน ในแบบที่ช่วยยกระดับมาตรฐานให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง” “ผมได้พบกับดี.เจ.ที่ออฟฟิศของเขาครับ” ดูแรนด์เล่า “พอเราจับมือกัน ผมก็รู้ว่านี่จะต้องเป็นประสบการณ์ที่สนุกแน่ๆ เขาทั้งเต็มใจและมีความสุขกับการที่ได้สร้างบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ภายใต้โครงสร้างของสคริปต์และตัวละคร เขายอมให้ผมเล่นและค้นหาช่วงเวลาที่จะเกิดจากการแสดงแบบฉับพลันเท่านั้น ซึ่งทั้งสนุกและน่าตื่นเต้นจริงๆ ครับ มันเจ๋งมากทีได้ร่วมงานกับคนที่มั่นใจในทีมนักแสดงของเขาขนาดนั้น” ดูแรนด์อธิบายบทผู้บัญชาการแห่งกองทัพมอกาดอร์ของเขาว่า “เราได้กำจัดชาวดาวลอเรียนเกือบทุกคนแล้ว แต่มีเด็กเก้าคนที่หลบหนีมายังโลกพร้อมกับผู้พิทักษ์ของพวกเขา ผมต้องตามไล่ล่าตัวพวกเขา กำจัดพวกเขาทีละคนๆ แต่ผมต้องฆ่าพวกเขาตามลำดับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่สะดวกเลย” “ผมชอบผู้บัญชาการกองทัพมอกาดอร์นะครับ มันเจ๋งมากที่ได้สวมบทเป็นเขาและดื่มด่ำกับสิ่งที่เขาหลงใหลได้ปลื้ม มันสนุกมากเลย คุณจะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเสือที่ได้เล่นกับกระต่ายตัวน้อยๆ เลยล่ะครับ”—เควิน ดูแรนด์ “ผู้บัญชาการรักดาวดวงนี้ครับ” ดูแรนด์บอก “ผมคิดว่าสิ่งที่เขาเห็นคุณค่ามากที่สุดคือของเล่นทุกชนิดครับ คนบนโลกมีความสุขกับการท่องอินเทอร์เน็ต การดูหนัง ช้อปปิ้ง และกินอาหารที่เลิศรสเหล่านี้ เขาโปรดปรานพวกจังค์ฟู้ดทุกชนิด” การสร้างเวลาและสถานที่ ผู้ออกแบบงานสร้างทอม เซาธ์เวลเคยร่วมงานกับผู้กำกับดี.เจ. คารูโซมาแล้วสิบครั้ง และหกครั้งเป็นในฐานะผู้ออกแบบงานสสร้าง “ตอนที่เราได้ร่วมงานกันครั้งแรก” เซาธ์เวลเล่า “เราคิดระบบสื่อสารกันด้วยการใช้ของจำลอง เราจะมัดกล้องตัวเล็กๆ ไว้บนรถของเล่น เมื่อคิดช็อตรถออกมา ส่วนในหนังเรื่องนี้ เราก็จะสร้างฉากจำลองขึ้นมา ดี.เจ. จะใช้กล้องจิ๋วของเขาในการคิดหามุมกล้อง นักวาดภาพสตอรีบอร์ดก็จะใช้มุมนั้นในการวาดภาพสเก็ตช์ที่ทุกคนจะสามารถดูและเห็นถึงช็อตที่ดี.เจ.วางแผนเอาไว้ได้” เรื่องราวนี้มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่โรงเรียนไฮสคูล ซึ่งเป็นฉากสำคัญของเรื่อง ดังนั้นทีมงานก็เลยต้องอยู่ในสถานที่นั้นเป็นเวลานาน ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการใช้โรงเรียนจริงๆ ดังนั้น หลายๆ ซีนจึงถูกถ่ายทำขึ้นที่แฟรงค์ลิน รีเจียนนัล ไฮในเมอร์รีสวิลล์, เพนซิลวาเนีย อย่างไรก็ดี เซาธ์เวลบอกว่า “มีบางซีเควนซ์ที่เราถ่ายทำที่นั่นไม่ได้เพราะมันเป็นฉากการทำลายล้างแบบราพณาสูรเลยครับ” ความท้าทายด้านครีเอทีฟสำหรับผู้กำกับและทีมงานของเขาคือการทำให้ “ลุค” แบบไฮสคูลที่เด็กๆ เห็นกันทุกเมื่อเชื่อวันให้น่าสนใจขึ้น “วิธีหนึ่งที่เราจะทำได้คือการใช้เอฟเฟ็กต์แสงพิเศษครับ” เซาธ์เวลอธิบาย “อีกวิธีหนึ่งก็คือการใช้สีสัน ผมพยายามจะสร้างอิทธิพลให้กับผู้ชมด้วยการใช้สีสันเพราะมันเป็นเรื่องทางจิตวิทยาครับ คุณสามารถทำให้คนรู้สึกกลัวมากขึ้นได้ด้วยการดูดสีออกไป มันจะก่อให้เกิดความรู้สึกผิดธรรมชาติ ที่จะทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นใจ จนพวกเขาเริ่มรู้สึกว่าสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวกำลังจะเกิดขึ้น” เซาธ์เวลกล่าวเสริมว่า “แสงก็เหมือนกัน ยิ่งมันมืดลงเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งหวาดสะพรึงมากเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณรู้ว่าจะมีตัวประหลาดโผล่ออกมาจากทางเดินน่ะครับ” อีกหนึ่งองค์ประกอบที่น่าสนใจในการออกแบบงานสร้างของ I Am Number Four คือแสงจากของที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างมาก เซาธ์เวลอธิบายว่า “ในบางตอนของหนัง แสงจะมีน้อยมาก และวิธีเดียวที่คุณจะมองเห็นตัวละครของเราได้ก็คือในลักษณะร่างเงาที่เกิดจากแสงสะท้อนจากพื้น แผนกกล้องได้ทดสอบการถ่ายทำพื้นผิวทุกชนิดของเพื่อทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะมีแสงสะท้อนมากพอและมีเท็กซ์เจอร์ที่แตกต่างกันครับ” ด้วยความที่ว่าทางเดินในโรงเรียนเป็นฉากสำหรับงานฟิสิคัลและสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ส่วนใหญ่ของเรื่อง เซาธ์เวลจึงต้องตั้งกลไกกับฉากเพื่อรองรับงานผาดโผนและเอฟเฟ็กต์มากมายที่จะเกิดขึ้นที่นั่น นอกเหนือไปจากการทำให้ระเบียงแลดูน่าตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัว ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายวิชวล เอฟเฟ็กต์ เกร็ก แม็คเมอร์รีย์ อธิบายว่า “มันมีวิชวล เอฟเฟ็กต์และซีเควนซ์แอ็คชั่นหลายรูปแบบ และมันก็มีพลังงานอย่างล้นเหลือจริงๆ เพราะตัวละครแต่ละตัวมีความสามารถแตกต่างกัน แล้วเราก็มีสัตว์ประหลาดที่เราร่วมสร้างกับไอแอลเอ็ม (อินดัสเทรียล ไลท์ แอนด์ เมจิค) ซึ่งตัวหนึ่งก็คือพิเคน ที่พวกมอกาดอร์ปล่อยออกมาครับ” ปีเตอร์ เชสนีย์ ผู้ประสานงานฝ่ายสเปเชียล เอฟเฟ็กต์ เป็นผู้ทำงานออกแบบและสร้างพิเคนเหล็กที่หนัก 3,500 ปอนด์ “ตัวพิเคนเหมือนกับบุลด็อกของจอมวายร้ายครับ โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นกระรอกบินมีเขี้ยวที่หนัก 1,500 ปอนด์ครับ” “มีซีนหนึ่งที่จอห์นใช้พลังเคลื่อนย้ายสิ่งของกระแทกตู้ล็อกเกอร์ล้มเพื่อขัดขวางการโจมตีของพวกพิเคนครับ” เชสนีย์เล่า เชสนีย์ได้สร้างค้อนหนัก 24,100 ปอนด์ที่ถูกยกสูงขึ้นที่ทั้งสองฝั่งของระเบียง และมันก็จะถูกเหวี่ยงเข้าที่ด้านหลังของตู้ล็อกเกอร์ 20 ตู้ แล้วเขาก็ใช้รถกอล์ฟแทนตัวพิเคน และปล่อยมันวิ่งตามทางเดินระหว่างที่ค้อนถูกปล่อยลงมาทีละอันๆ ตามลำดับ ในอีกซีนหนึ่ง ทีมงานได้ใช้ผนังบล็อกของจริงเป็นส่วนหนึ่งของฉากและปล่อยตัวพิเคนวิ่งด้วยความเร็ว 20 ไมล์ต่อชั่วโมง “วิธีของเราก็คือการใช้การเคลื่อนไหวกล้องที่กระชับฉับไวครับ” เชสนีย์อธิบาย “เราก็เลยต้องพังทุกอย่างให้ทะลุก่อนหน้าที่เราจะถ่ายทำ เพื่อที่ว่าเราจะได้กะจังหวะถูก ในการเคลื่อนไหวกล้องหลายๆ ครั้ง ที่คุณสะบัดกล้องอย่างเร็วในตอนที่มีตัวละครวิ่งผ่าน เราก็จะสร้างให้เกิดประกายไฟ และย้อนภาพอีกครั้งระหว่างการซ้อมครับ” ผู้ออกแบบงานสร้างทอม เซาธ์เวลให้ความเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงด้านสไตล์ในภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “สีสันของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างจะหลากหลายมากๆ ครับ” เขาบอก “หนังเรื่องนี้เปิดตัวในกระท่อมที่ห่างไกลผู้คนในป่าแอฟริกา มันเป็นฉากสั้นๆ ก็จริง แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณรู้สึกว่ามันจะต้องมีอะไรบางอย่างที่น่าหวาดกลัวในหนังเรื่องนี้ แล้วมันก็ย้ายไปที่ฟลอริดา คีย์ส ที่จอห์นและเฮนรี่ใช้ชีวิตอยู่ พวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนหาดทรายขาวนวลสวยงาม ที่มีต้นปาล์มและน้ำทะเลสีฟ้าใส มันเป็นสถานที่ที่เพอร์เฟ็กต์สำหรับวัยรุ่นเลยครับ” เฮนรี่และจอห์นใช้ชีวิตอยู่ในบ้านยกสูงจากพื้นที่คล้ายๆ กับแหล่งกบดานของพวกหาสมบัติในทราย เมื่อจอห์นเจอกับประสบการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวในมหาสมุทรคืนวันหนึ่ง เฮนรี่ก็รู้ว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายและบอกจอห์นว่าพวกเขาจะต้องไปแล้ว พวกเขาเก็บข้าวของทุกอย่างเพื่อไม่ให้เหลือร่องรอยทิ้งไว้ “นั่นเป็นความท้าทายชิ้นใหญ่เลยครับ” เซาธ์เวลเล่า “บ้านจะต้องตั้งอยู่บนชายหาดที่มีทรายขาวสะอาด มันเป็นสรวงสวรรค์อย่างแท้จริง เราต้องกล่อมให้เจ้าของยอมให้เราสร้างเปลือกนอกขึ้นมารอบบ้านเพื่อให้ได้ลุคตามที่เราต้องการ แล้วค่อยระเบิดมันทิ้งครับ” เฮนรี่และจอห์นถูกบีบให้ต้องหนี และพวกเขาก็ไปลงเอยกันที่เมืองพาราไดซ์ในโอไฮโอ “มันก็ยังสวยอยู่ดี แต่สีสันมันจืดชืดมาก มันมีภาพที่น่าเบื่อ ซึ่งอาจเป็นเพราะมันปกติธรรมดาเหลือเกินก็ได้ครับ” เซาธ์เวลบอก ผู้กำกับดี.เจ. คารูโซอยากให้จอห์น ตัวละครของอเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์เกลียดบ้านหลังใหม่ในโอไฮโอ เซาธ์เวลก็เลยช่วยถ่ายทอดความรู้สึกนั้นด้วยการทำให้บ้านดูมีเสน่ห์น้อยลงและตรงกันข้ามกับบ้านหลังเก่าที่เหมือนสรวงสวรรค์ของเขา เซาธ์เวลตัดสินใจเปิดผนังบางช่วงออกราวกับกำลังมีการซ่อมแซมเกิดขึ้น และจู่ๆ ก็หยุดไปซะอย่างนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาเผยให้เห็นคานและสายไฟ เพื่อให้ตัวละครนั่งอยู่ในห้องที่ไม่เสร็จสมบูรณ์ดี บ้านหลังนี้ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงกับความอบอุ่นที่เซาธ์เวลได้สร้างขึ้นในบ้านของซาราห์ ที่ซึ่งจอห์นจะได้สัมผัสกับความอบอุ่นหัวใจจากบรรยากาศความเป็นครอบครัวที่แท้จริงเป็นครั้งแรก สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวภาพยนตร์เรื่อง+ดรีมเวิร์คส์วันนี้

ภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล SPU พานักศึกษาชมหนัง "The Stone พระแท้ คนเก๊" พร้อมเจาะลึกเบื้องหลังกับผู้กำกับมืออาชีพ

คณะนิเทศศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และสื่อดิจิทัล มหาวิทยาลัยศรีปทุม ร่วมกับ บริษัท จังก้า พลัส สตูดิโอ จำกัด จัดกิจกรรมเอ็กซ์คูลซีฟ โดยพานักศึกษารหัส FD65 และ FD67 กว่า 1,000 คน ร่วมกิจกรรมชมภาพยนตร์พร้อม Pro Talk เจาะลึกเบื้องหลังการสร้างภาพยนตร์เรื่อง "The Stone พระแท้ คนเก๊" ณ โรงภาพยนตร์ SF เซ็นทรัลลาดพร้าว เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา กิจกรรมนี้ นักศึกษาได้เข้าร่วม Pro Talk ฟังประสบการณ์ตรงจากวิทยากรพิเศษ คุณเป้ -อารักษ์ อมรศุภศิริ และ คุณบีวุฒิพงษ์ สุขะนินทร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ เรื่อง The

เผย "ตัวอย่างแรก" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจาก... เกิดอะไรขึ้นที่ "ท่าแร่" — เผย "ตัวอย่างแรก" ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ "ธี่หยด 1-2" สู่ความสยองที่ไม่เคยพบเจอ 7 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์ เตรียม...

พร้อมให้สตรีมกันวันที่ 25 มิ.ย. นี้! บน D... Marvel Television เผยตัวอย่างและโปสเตอร์ใหม่ของ "Ironheart" ซีรีส์ฮีโร่มาร์เวลเรื่องใหม่ — พร้อมให้สตรีมกันวันที่ 25 มิ.ย. นี้! บน Disney+ Hotstar เท่านั้...

ปล่อยมาให้ได้ชมกันแล้วกับโปสเตอร์และตัวอย... ตัวอย่างล่าสุด Superman เตรียมพร้อมออกพุ่งทะยาน 10 กรกฏาคม ในโรงภาพยนตร์ — ปล่อยมาให้ได้ชมกันแล้วกับโปสเตอร์และตัวอย่างล่าสุด "Superman" ภาพยนตร์เรื่องแรก...

GDH เปิดตัว GDH Upcoming Project Lineup ห... 'GDH' เปิด Upcoming Project Lineup หนังปี 2569 3 เรื่อง 3 แนวให้ได้ชมกันแบบครบรส — GDH เปิดตัว GDH Upcoming Project Lineup หนังปี 2569 3 เรื่อง 3 แนวให้ได...

ภาพยนตร์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดวัฒนธรร... "Creation of the Gods II: Demon Force กำเนิดเทพเจ้า ตอน มหาศึกเทพยุทธ" — ภาพยนตร์แฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่ ถ่ายทอดวัฒนธรรมจีนสู่สายตาชาวโลก 15 พ.ค. นี้ ฉายแสง แอ...

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหลังที่โดดมารับบท มูซา... "เจ๋ง บิ๊กแอส" กล้าท้าพิสูจน์โลกหลังความตายของ ญิน ในภาพยนตร์ "4 ป่าช้า" — ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อหลังที่โดดมารับบท มูซา ในภาพยนตร์ 4 ป่าช้า ตอนญิน สำหรับ เจ๋...