อควาเรียสตอกย้ำภาพมืออาชีพด้านอสังหาฯหลังประสบ ความสำเร็จ จากคอนโดและโรงแรม ตั้งเป้าเปิดโครงการ รับบริหารและปรึกษามูลค่ารวมทะลุยอด 7,000 ล้านบาทในปี '56

21 Nov 2012

กรุงเทพฯ--21 พ.ย.--พีสแควร์พีอาร์ โทเทิลโซลูชั่น

นายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ประธานกรรมการบริหารบริษัท อควาเรียส เอสเตท จำกัด เปิดเผยต่อสื่อมวลชนถึงผลประกอบการของอควาเรียส เอสเตท ในปี พ.ศ. 2555 ว่า มีมูลค่า 700 ล้านบาทโดยมีที่มาดังนี้

AEQUA Residence 510 ล้านบาท คิดเป็น 71.83%

Management Service Fee 113 ล้านบาท คิดเป็น 15.92%

ShaSa Resort & Residences 85 ล้านบาท คิดเป็น 11.97%

Asset Rental Yield 2 ล้านบาท คิดเป็น 0.28%

เนื่องจาก 2555 เป็นปีที่คาบเกี่ยวกับการโอน AEQUA Residence Sukhumvit 49 ทำให้เป็นที่มาหลักของผลประกอบการประจำปีส่วน ShaSa Resort & Residence ที่เกาะสมุยก็มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 50% แม้ สภาวะการท่องเที่ยวทั่วโลกจะซบเซาลงโดยยุโรปเฉพาะประเทศใน Euro Zone ที่มีส่วนแบ่งในจำนวนผู้เข้าพักของโรงแรมถึง 38% และ 40% ในปี 2553 และ 2554 ตามลำดับ

ทั้งนี้ มาจากการที่บริษัทได้เล็งเห็นปัญหาเมื่อวิกฤติได้ก่อตัวและเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วไปที่ตลาดยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะออสเตรเลียที่ก้าวขึ้นมาเป็นตลาดสำคัญอันดับหนึ่งของโรงแรมโดยผู้เข้าพักจากออสเตรเลียประเทศเดียวถึง14% แต่หากมองไปที่ธุรกิจ หลักของบริษัท Integrated Real Estate Service Fee จะเห็นได้ว่ามีมูลค่า ถึง 113 ล้านบาทหากเทียบกับมูลค่า 41 ล้านบาทจากปี 2554 มีอัตราการ เติบโตถึง 175% เนื่องมาจากโครงการที่บริษัทได้บริหารจัดการ อยู่เดิมมี ยอดขายที่ดีอย่างต่อเนื่องเช่นค่าบริหารงานพัฒนาโครงการจาก SYM. Condo ที่มียอดขายประมาณ 700 ล้านบาทตั้งแต่เริ่มปี 2555 อีกทั้งบริษัท ได้รับความไว้วางใจจากความสัมพันธ์ทางธุรกิจอย่างยาวนานกับ Ananda Development จึงให้ดูแลการขายทั้งหมดของ IdEO Mobi พระราม 9 ซึ่งมี มูลค่าโครงการรวม 2,700 ล้านบาทอีกทั้ง Whizdom Condo Sukhumvit 62-64 ของบริษัท Magnolia ที่ อควาเรียสเข้าไปบริหารจัดการรอบด้านทั้ง การก่อสร้างตกแต่งภายในการตลาดและการขาย ซึ่งทางบริษัทได้รับมอบหมายให้บริหารเพื่อขายห้องที่เหลืออยู่มูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท

ทิศทางและเป้าหมายของอควาเรียส เอสเตท ในปี 2556

ทางด้านโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัทเองนั้น บริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการทั้งหมดมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาท โดยจะเป็นโครงการบ้านเดี่ยว หรู 15 GATES บริเวณ CDC จำนวนเพียง 15 หลังเท่านั้น มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท และโครงการมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาทอยู่บริเวณ สุขุมวิท CBD นอกจากนี้นั้นทางบริษัทยังได้มองหาที่ดินในโซนรถไฟฟ้า สายใหม่ 1,000 ล้านบาทโดยคุณยงยุทธกล่าวว่า เหตุที่ยังคงเลือกที่จะพัฒนาโครงการในแถบสุขุมวิทเนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นทำเลที่ทำเงินทั้งในแง่ของการซื้อและการลงทุนและตอบโจทย์การสร้างคอนโดระดับ High end ที่ต้องอาศัย ความเชี่ยวชาญเป็นอย่างสูง ทั้งในเรื่องของการวางแผน โครงสร้างการ ทำงานและทีมงานที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน โดยทั้งหมดที่กล่าวมาเป็น จุดแข็งของบริษัทอควาเรียสที่คุณยงยุทธมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาโครงการดีๆ ออกสู่ ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างเช่นจากกรณีของ AEQUA Residence ที่มีราคาปรับเพิ่มขึ้นต่ออย่างเนื่องอีกทั้งอัตราค่าเช่าที่ดีที่สุดที่หนึ่งในบริเวณสุขุมวิท

ส่วนทางด้านของโรงแรมนั้น ShaSa Resort & Residences ทางบริษัทก็ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มรายได้อีกประมาณ 18% เพื่อให้รายได้ทะลุ 100 ล้านบาทเป็น Century Break ครั้งแรก นอกจากนั้นบริษัทก็ได้รับบริหารทาง ด้านการขายและการตลาดทั้งหมดให้กับ Villa 360 Phi Phi Island รีสอร์ท ที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ากว่า 600 ล้านบาทสูงที่สุดบนเกาะพีพี โดย ShaSa Resort & Residences และ Villa 360 Phi Phi Island เป็นพาร์ตเนอร์กันทั้ง ตลาดในประเทศและต่างประเทศโดยใช้ความได้เปรียบทางด้านบุคลากรและความแตกต่างทางด้าน High & Low Season สำหรับนักท่องเที่ยวแบบ Islands Hoppers

ทางด้านของงาน Integrated Real Estate Service Fee นอกจาก โครงการที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ปัจจุบันแล้วที่มีมูลค่ายอดขายที่ตั้งไว้ในปี 2556 มูลค่าประมาณ 2,100 ล้านบาทแล้วนั้นบริษัทก็อยู่ในช่วงเจรจากับ ทางเจ้าของโครงการและนักลงทุนสำหรับโครงการจำนวนอีก 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,600 ล้านบาทในกรุงเทพและต่างจังหวัดโดยในเขต กรุงเทพมหานคร 2 โครงการเป็นโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมห้างสรรพสินค้า ริมน้ำย่านถนนพระราม 3 มูลค่า 1,700 ล้านบาท และโครงการคอนโด มิเนียมสูงบนถนนสาทรใต้มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนทางด้าน บริเวณต่างจังหวัดอีก 2 โครงการอยู่ที่หัวหินและเชียงใหม่มูลค่า 1,600 และ 300 ล้านบาทตามลำดับ

สรุปอควาเรียส เอสเตทกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภาพรวมในปี 2556

สำหรับภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ มีปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% เหลือ 2.75% ในการประชุม กนง. ที่ผ่านมา เป็นการส่งสัญญาณมายังภาคเอกชนในเรื่องของ ทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งการลดลงดังกล่าว จะมีผลทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการต่ำลง และกำลังซื้อของผู้บริโภคเพิ่มสูงขึ้น

แม้ว่าโครงการคอนโดมิเนียม ตามแนวรถไฟฟ้าจะยังคงได้รับความ นิยมอยู่อย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็ยังมี แต่ลักษณะของผู้บริโภคที่มีความปัจเจกชัดเจน ต้องการความเฉพาะเจาะจง และความแตกต่างมากขึ้น เรื่อยๆ โดยรูปแบบการพัฒนาโครงการแบบ 'พิมพ์นิยม' จะมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต่างๆให้ความสำคัญมากขึ้นกับเรื่อง Corporate Branding เพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างคู่แข่ง อควาเรียส เอสเตท จะได้ประโยชน์จากการนี้เนื่องจากเป็นองค์กรขนาดเล็กที่ทำ Product มาแข่งกับยักษ์ใหญ่เสมอมา ส่วน AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และนโยบายการลงทุน เสรี ซึ่งจะนำมาสู่นักลงทุนอสังหาฯจากต่างชาติซึ่งต้องการ local partner ที่มีประสบการณ์สูงและให้คำปรึกษาได้ดี ซึ่งหากเปรียบเทียบกับ Consultancy Firm อื่นๆ อควาเรียส เอสเตทแม้จะเล็กกว่าแต่น่าจะได้ เปรียบอย่างมากเนื่องจาก Service ที่ครบวงจรมากเกินกว่าบริษัทอื่นที่ ให้บริการเพียง Feasibility และ Sales & Marketing แต่ไม่มีบริการอย่าง Product Development, Construction Development และ Promotional Activation อย่างที่ อควาเรียส เอสเตท มีและก็เป็นบริษัทเดียวที่มีลักษณะ ทางธุรกิจและบริการดังกล่าว

"ในด้าน Service ที่ อควาเรียสทำอยู่ ปัจจุบันยังไม่มีบริษัทใดในตลาด ที่มีบริการที่ครบวงจรแบบ AQ และจุดเด่นของ AQ ที่สำคัญคือ AQ เป็น Developer ทำให้เราเข้าใจและตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็น Developer ด้วยกันและเรามีความชำนาญทั้งในด้านการตลาดและการขาย และการประมาณการต้นทุนที่ถูกต้องแม่นยำ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ในตลาด จะเป็นเพียง Agent เท่านั้น จากการยอมรับดังกล่าว ทำให้เราได้กำหนด เป้าหมายด้านการเติบโตเป็นตัวเลขยอดขายในปี 2555 - 2556 และอีก 3 ปีข้างหน้า วางเป้าเติบโตปีละ 50 %” นายยงยุทธ กล่าวในที่สุด

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net