คอนติเนนทอลทดสอบการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--9 ส.ค.--พีอาร์แอนด์ แอสโซซิเอส

คอนติเนนทอล บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ระดับโลก ได้ทำการทดสอบสมรรถนะการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูงตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ในมลรัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกาเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การทดสอบการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูงครั้งนี้กินระยะทางกว่า 6,000 ไมล์บนถนนสาธารณะในเนวาดา โดยมีเป้าหมายที่จะแสดงให้เห็นว่า เป็นไปได้ที่จะมีการพัฒนาเพิ่มอิสรภาพให้กับผู้ขับขี่โดยที่ไม่ต้องเป็นผู้บังคับยานยนต์เป็นคนหลัก นอกจากนี้ในการทดสอบยังมีการยกระดับความปลอดภัยในหลายมิติของการขับขี่ ทั้งนี้เนวาดาเป็นรัฐแห่งแรกในสหรัฐที่อนุญาตให้มีการขับขี่อัตโนมัติได้บนท้องถนนสาธารณะ นับเป็นครั้งแรกที่มีการนำเทคโนโลยีที่กำลังจะมีการผลิตขึ้นใช้งานจริงสำหรับตรวจจับสภาพแวดล้อมทันทีขณะขับขี่พร้อมด้วยแอคชูเอเตอร์ (actuator) มาทดสอบ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งกล้องสเตริโอ MFC 300 ซึ่งมีระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับระยะห่างและขนาดของสิ่งกีดขวาง ระบบเบรก MK 100 ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิก และพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้า (อีพีเอส) การทดสอบในครั้งนี้ยังเป็นการตรวจสอบการใช้งานและระดับความปลอดภัยเมื่อยานยนต์ปฏิบัติงานในโหมดอัตโนมัติแบบเต็มรูปแบบอีกด้วย สำหรับอุปกรณ์ที่นำมาใช้งานในยานยนต์เพื่อการวิจัยของคอนติเนนทอลแตกต่างไปจากเซ็นเซอร์แบบเลเซอร์และแอคชูเอเตอร์ที่ผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษในยานยนต์อัตโนมัติขั้นสูงหรือยานยนต์ไร้คนขับอื่นๆ เนื่องจากอุปกรณ์ของคอนติเนนทอลมีลักษณะเฉพาะตัวที่สามารถตรวจจับสถานการณ์ที่มีความซับซ้อนได้มากกว่า ดังนั้น ระบบขับขี่อัตโนมัติก็จะช่วยลดความน่าเบื่อในการขับขี่ด้วยอิริยาบทที่จำเจให้กับผู้ขับขี่ได้ เช่น ระหว่างที่รถติด เป็นต้น และการทดสอบครั้งนี้ก็ได้มีการทดลองขับขี่ในสถานการณ์รถติดด้วย ส่วนในสถานการณ์ที่เกินขีดความสามารถของการขับขี่อัตโนมัติขั้นสูง เช่น เมื่อไม่สามารถตรวจจับเครื่องหมายบนท้องถนน หรือมีโค้งที่กระชั้นชิดเกินไป ระบบจะปิดตัวเองโดยอัตโนมัติ และผู้ขับขี่จะต้องหันกลับมาควบคุมยานยนต์ด้วยตัวเอง แต่หากผู้ขับขี่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ยานยนต์จะลดความเร็วลงจนกระทั่งหยุด โรงงานคอนติเนนทอลในแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี และในออเบิร์น ฮิลส์ ในมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ได้แบ่งปันข้อมูลความรู้ร่วมกันเพื่อที่จะพัฒนาและทดสอบระบบดังกล่าวเพิ่มเติม ในขั้นต่อไป ประสบการณ์ที่ได้รับมาจะช่วยเสริมการทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ก้าวหน้า (Advanced Driver Assistance Systems: ADAS)* และผลการทดสอบจะสะท้อนให้เห็นการพัฒนาก้าวสำคัญเพื่อมุ่งหน้าสู่การขับขี่อันไร้อุบัติเหตุต่อไป *ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ก้าวหน้า (ADAS) ประกอบด้วย: 1. ระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน (Emergency Brake Assist) มีออพติคอลเซ็นเซอร์ตรวจจับระยะห่างรถข้างหน้าในระยะ 10 เมตร หากระยะห่างลดลงอย่างรวดเร็ว ระบบฉุกเฉินจะอยู่ในสถานะสแตนบายเมื่อผู้ขับขี่เหยียบเบรคก็จะช่วยส่งกำลังเบรคได้ แต่หากผู้ขับขี่ไม่มีปฏิกิริยา ระบบจะเบรคเองในนาทีสุดท้ายซึ่งจะสามารถเลี่ยงอุบัติเหตุหรือลดความรุนแรงของการปะทะได้ 2. ระบบตรวจจับสัญญาณจราจร (Traffic Sign Recognition) ทำงานด้วยกล้องที่สามารถอ่านป้ายความเร็วจำกัดและสัญลักษณ์จราจรทั่วไปพร้อมแจ้งผู้ขับขี่ 3. ระบบควบคุมการทรงตัว (Electronic Stability Control) ช่วยให้รถอยู่ในเส้นทางโดยเปรียบเทียบเส้นทางที่ผู้ขับขี่ตั้งใจกับเส้นทางจริงที่รถกำลังเคลื่อนไป ณ ช่วงเวลานั้น หากรถออกนอกเส้นทาง ระบบจะสั่งให้ล้อชะลอและนำรถกลับเข้าเส้นทาง 4. ระบบตรวจจับมุมอับ (Blind Spot Detection) ทำงานด้วยเรดาร์เซ็นเซอร์หรือกล้องที่คอยตรวจช่วงหลังและตามดานข้างของรถและแสดงสัญญาณใกล้กระจกมองข้างเพื่อบอกว่ามีรถวิ่งอยู่ในมุมอับหรือไม่ 5. ระบบเตือนการขับออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning) จะสั่งการเมื่อกล้องตรวจจับคำนวนได้ว่ารถกำลังจะออกนอกเส้นทาง ระบบจะสั่นพวงมาลัยเป็นการเตือนผู้ขับขี่พร้อมทั้งควบคุมทิศทางการขับเองเล็กน้อย 6. ระบบควบคุมไฟหน้าอัจฉริยะ (Intelligent Headlamp Control) ควบคุมความสว่างไฟหน้าอย่างอัตโนมัติตามสภาพแวดล้อมและเลี่ยงการทำให้ผู้ใช้ท้องถนนผู้อื่นแสบตา 7. ระบบรักษาความเร็วและระยะห่าง (Adaptive Cruise Control) ช่วยควบคุมทั้งความเร็วและระยะห่างจากรถคันข้างหน้า ติดต่อ: พีอาร์ แอนด์ แอสโซซิเอส โทร: 0-2651-8989 ต่อ 331 หรือ 445 อีเมล์: [email protected] หรือ [email protected] -กผ- สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวชิ้นส่วนยานยนต์+สหรัฐอเมริกาวันนี้

อลจี โชว์ฟอร์มแกร่ง เผยผลประกอบการไตรมาส 3 ประจำปี 2568

กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์โตเด่น ดันรายได้ทุบสถิติสูงสุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ จำกัด (แอลจี) เผยผลประกอบการรวมประจำไตรมาส 3 ของปี 2568 มีรายได้รวม 21.87 ล้านล้านวอน (หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 5.03 แสนล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 688.9 พันล้านวอน (หรือประมาณ 1.58 หมื่นล้านบาท) ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนผลการดำเนินงานอันแข็งแกร่งในไตรมาสนี้มาจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Home Appliance Solution: HS) และกลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์

I-Motor จับมือ Asahi Denso ประเทศญี่ปุ่น ... I-Motor จับมือ Asahi Denso ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวคันเร่งอัจฉริยะครั้งแรกในไทย — I-Motor จับมือ Asahi Denso ประเทศญี่ปุ่น เปิดตัวคันเร่งอัจฉริยะครั้งแรกในไท...

ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ( ที่ 3 จากขวา ) ประธ... TATG โชว์ศักยภาพผู้นำอุตสาหกรรมแม่พิมพ์โลหะ และชิ้นส่วนยานยนต์ ในงาน mai FORUM 2025 — ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ( ที่ 3 จากขวา ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ...