แพทย์โรคตับ ชวนชาวชลบุรี-พัทยาตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ก่อนลุกลามสู่มะเร็งตับ เตือนติดง่ายกว่าเอดส์ ชี้สถานบันเทิงอาจเป็นต้นเหตุการแพร่เชื้อได้ง่าย

20 Aug 2012

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--No Name IMC

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคตับ โรงพยาบาลชลบุรี ชี้ไวรัสตับอักเสบบี นับเป็นหนึ่งในปัญหาด้านสาธารณสุขที่ต้องเร่งแก้ไข เชิญชวนชาวชลบุรี-พัทยา และจังหวัดใกล้เคียงเร่งตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี แนะรีบรักษาอย่างถูกวิธีก่อนเรื้อรังและลุกลามสู่มะเร็งตับ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่เกิดก่อนปี 2535 มีโอกาสเสี่ยงสูงต่อการได้รับเชื้อ เนื่องจากเป็นปีก่อนที่จะมีวัคซีนป้องกัน ชี้เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายทางเพศสัมพันธ์ และติดต่อทางเลือด น้ำลาย และสารคัดหลั่งเช่นเดียวกับเอดส์ แนะสวมถุงยางอนามัย และงดใช้ของมีคมร่วมกับบุคคลอื่น

โครงการ “หยุดไวรัสตับอักเสบบี ต้านภัยมะเร็งตับ...เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา” ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของสมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และมูลนิธิโรคตับ ได้จัดกิจกรรมรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงอันตราย รู้วิธีป้องกัน การปฏิบัติตัว และรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีอย่างถูกต้องเหมาะสม ช่วยลดปัญหาการเกิดโรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง เนื่องจากเป็นปัญหาสำคัญของสาธารณสุขในประเทศไทย โดยพบว่าไวรัสตับอักเสบบีเป็นภัยเงียบคุกคามคนไทยกว่า 3.5 ล้านคน และเป็นภัยร้ายใกล้ตัวที่มักถูกละเลย จนนำไปสู่โรคร้ายต่างๆ อาทิ มะเร็งตับ ตับแข็ง และตับวาย เป็นต้น

โดยทางโครงการฯ ได้จัดให้มีการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี ฟรี 8,400 รายทั่วประเทศ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา มหาราชา พร้อมทั้งกิจกรรมสัมมนาวิชาการให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ อาทิ แพทย์ พยาบาล และนักวิชาการ ในทุกภูมิภาคโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ภาคเหนือ-เชียงใหม่ ภาคใต้-หาดใหญ่ ภาคตะวันออกฉียงเหนือ-ขอนแก่น และภาคกลางที่ชลบุรี

ทั้งนี้ กิจกรรมที่ภาคกลาง สมาคมโรคตับแห่งประเทศไทย และมูลนิธิโรคตับ ได้ร่วมกับวิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก จัดประชุมวิชาการ เรื่อง “ไวรัสตับอักเสบบี ภัยร้ายสู่มะเร็งตับ” เพื่อเพิ่มพูนความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางการป้องกันและการรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีให้กับพยาบาลวิชาชีพ โดยได้รับเกียรติจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารและตับร่วมเป็นวิทยากร อาทิ ศ.นพ.พิสิฐ ตั้งกิจวานิชย์ ภาควิชาชีวเคมี คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, นพ.คมสันต์ เลิศคูพินิจ รองหัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลชลบุรี, พญ.สุมนา นพรัตน์ หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลชลบุรี ร่วมด้วย อ.เทพนิมิตร จุแดง คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และ พันโทหญิง ดร.วาสนา นัยพัฒน์ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพบก นอกจากนี้ ภายในงานยังจัดหน่วยบริการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี สำหรับประชาชนผู้สนใจทั่วไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ซึ่งได้รับความสนใจจากพยาบาลเข้าร่วมการประชุม และประชาชนเข้าร่วมตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีกว่า 400 ราย ในวันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม 2555 ณ ห้องประชุมเฉลิมราชสมบัติ ชั้น 9 โรงพยาบาลชลบุรี จังหวัดชลบุรี

นพ.คมสันต์ เลิศคูพินิจ รองหัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลชลบุรี เปิดเผยว่า อุบัติการณ์ของผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีของประเทศไทยยังน่าเป็นห่วง ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสูงถึง 3.5 ล้านคน แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการฉีดวัคซีนป้องกันตั้งแต่เด็กในวัยแรกคลอดแล้วก็ตาม แต่จำนวนผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบีก็ยังมีจำนวนสูงอยู่ รวมถึงในเขตภาคกลางฝั่งตะวันออก ซึ่งปัญหาสำคัญของโรคไวรัสตับอักเสบบีก็คือ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ใส่ใจที่จะป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจากเห็นว่าเป็นโรคที่ไม่อันตราย เพราะโรคนี้เป็นภัยเงียบมักจะไม่มีอาการแสดง ทั้งที่ความจริงแล้วไวรัสตับอักเสบบีเป็นโรคที่ติดต่อกันง่าย เพราะติดต่อได้หลายทาง ทั้งทางเลือด เพศสัมพันธ์ ใช้อุปกรณ์ปนเปื้อนเลือดร่วมกัน เช่น กรรไกรตัดเล็บ เข็มฉีดยา แปรงสีฟัน รวมไปถึงอุปกรณ์ในการสัก จากมารดาสู่บุตร และไม่รู้ว่าเป็นพาหะหากไม่ตรวจเลือด ซึ่งไวรัสจากเลือดที่ติดอยู่ตามอุปกรณ์ต่างๆ จะมีชีวิตอยู่ได้ถึง 7 วันกว่าเชื้อจะตาย เราจึงไม่สามารถรู้ได้เลยว่าตัวเองจะได้รับเชื้อมาเมื่อไหร่ เพราะโรคจะไม่แสดงอาการใดๆ จนกว่าการดำเนินโรคจะรุนแรงสู่โรคมะเร็งตับ โรคตับวาย รวมถึงตับแข็ง ที่สำคัญโรคไวรัสตับอักเสบบีนี้ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีการติดเชื้อในกลุ่มเด็กๆ ด้วยกันเองที่อยู่ตามเนิร์สเซอร์รี่ด้วย ด้าน พญ.สุมนา นพรัตน์ หัวหน้าหน่วยทางเดินอาหาร โรงพยาบาลชลบุรี กล่าวว่า ในจังหวัดแถบภาคตะวันออก อัตราการระบาดของโรคไวรัสตับอักเสบบีนั้น ค่อนข้างใกล้เคียงกับโรคเอชไอวี เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถติดต่อทางเลือด และเพศสัมพันธ์ได้ทั้งคู่ จึงต้องยอมรับว่ายังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่นิยมสวมถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ ทำให้การป้องกันโรคเป็นไปได้ยากมากขึ้น อีกทั้งสถานบันเทิงต่างๆ ที่มีมากขึ้นในปัจจุบัน ยิ่งทำให้ช่องทางในการแพร่ระบาดมีเพิ่มมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากแรงงานต่างด้าว ที่หลั่งไหลเข้ามาทำงานในบ้านเรา โดยไม่ได้ผ่านการตรวจคัดกรองโรคไวรัสตับอักเสบบีมาก่อน จึงมีความเสี่ยงสูงต่อการนำเชื้อไปสู่คนอื่นๆ ได้ ซึ่งการให้วัคซีนตั้งแต่แรกคลอด การสวมถุงยางอนามัย งดใช้ของมีคมร่วมกับคนอื่น และการตรวจได้รับการคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี จะช่วยลดปัญหาเรื่องโรคไวรัสตับอักเสบบีไปได้ ในกรณีผู้ที่ได้รับเชื้อแล้ว ต้องทำการรักษาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงดูแลตัวเองอย่างดีไม่ให้รับสิ่งที่เป็นพิษต่อตับ โดยหลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และยาสมุนไพรบางชนิด ในกรณีของผู้ที่มีประวัติใกล้ชิดกับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ควรฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคด้วย

กลุ่มผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี ส่วนใหญ่จะอยู่ในวัยทำงาน อายุระหว่าง 30-40 ปี ซึ่งเป็นกลุ่มที่อยู่ในวัยของผู้บริหาร เป็นกำลังสำคัญที่ช่วยในการผลักดันให้ประเทศเกิดการพัฒนาสูง จึงอยากให้หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคนไทยทุกคน ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและรักษาโรคไวรัสตับอักเสบบีก่อนที่จะสายเกินไป

ติดต่อ:

www.thailiverfoundation.org

-กผ-

สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net