นักลงทุนภาคเหนือร่วมวงถก ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ บีโอไอเล็ง แก้กฎหมายเพิ่มเครื่องมือดึงดูดการลงทุน – พร้อมหนุนเอสเอ็มอีไทย

04 Feb 2013

กรุงเทพฯ--4 ก.พ.--บีโอไอ

บีโอไอจัดสัมมนารับฟังความเห็นจากนักลงทุนไทยและต่างชาติในภาคเหนือ เรื่องยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 500 คน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมชูภาคเหนือเป็นแหล่งลงทุนสำคัญของประเทศ และพร้อมรับฟังข้อเสนอจากนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศในภาคเหนือ ด้านบีโอไอเตรียมเสริมทัพดึงดูดการลงทุนด้วยการเสนอแก้ไขพรบ.ส่งเสริมการลงทุน และเตรียมจัดทำมาตรการส่งเสริมกิจการเอสเอ็มอีไทย รองรับกิจการสำคัญหลายประเภทที่อาจเลิกส่งเสริม

นายประเสริฐ บุญชัยสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังกล่าวเปิดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นเรื่อง “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนใหม่: เพื่ออุตสาหกรรมไทยเติบโตอย่างยั่งยืน” ซึ่งจัดโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ว่า การลงทุนในภาคเหนือ มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ.2551 – 2555) มีโครงการยื่นขอรับส่งเสริมการส่งเสริมการลงทุนในภาคเหนือรวม 665 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 156,200 ล้านบาท ดังนั้น กระทรวงอุตสาหกรรม และบีโอไอ จึงได้จัดรับฟังความเห็นจากนักลงทุนในพื้นที่ภาคเหนือ ก่อนจะรวบรวมไปวิเคราะห์ใช้ในการจัดทำยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุน และนำเสนอต่อคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบอร์ดบีโอไอ ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลังเป็นประธาน

“ การลงทุนในภาคเหนือ นับได้ว่าเป็นภูมิภาคที่มีโครงการที่ยื่นคำขอเป็นอันดับที่ 2 ของประเทศ อุตสาหกรรมหลักในพื้นที่นี้ คือ การผลิตพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ อาทิ กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และชีวมวล และพลังงานทดแทนอื่นๆ ตามด้วยกิจการผลิตหรือถนอมอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ การผลิตเชื้อเพลิงจากผลผลิตการเกษตร รวมทั้งอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วน และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนญี่ปุ่นให้ความสนใจเข้ามาลงทุนเป็นจำนวนมาก และอุตสาหกรรมเหล่านี้ก็เป็นกลุ่มที่บีโอไอยังให้ความสำคัญภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ ” นายประเสริฐกล่าว

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวด้วยว่า สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามนโยบายใหม่นั้น จะเน้นการจูงใจหรือกระตุ้นให้เกิดการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนา การรักษาสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการเข้าไปลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม และลงทุนในลักษณะคลัสเตอร์อุตสาหกรรม โดยหากผู้ลงทุนมีการลงทุนเพิ่มเติมในกิจการเหล่านี้ ก็จะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่ม ซึ่งจะทำให้ได้สิทธิประโยชน์ที่ได้รับใกล้เคียงหรือเทียบเท่ากับสิทธิประโยชน์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ดังนั้น การปรับนโยบายครั้งนี้จึงมิได้เป็นการลดสิทธิประโยชน์ แต่เป็นการปรับทิศทางการส่งเสริมให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก ทิศทางการพัฒนาของประเทศที่มุ่งสู่เศรษฐกิจฐานความรู้มากยิ่งขึ้น

ด้านนายอุดม วงศ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ กล่าวว่า ภายใต้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนใหม่ แม้จะมีผลการศึกษาให้เลิกส่งเสริมการลงทุนในกิจการบางประเภท แต่บีโอไอก็จะรับฟังความเห็นและข้อเสนอของนักลงทุนทั่วประเทศด้วย และบีโอไอก็จะพิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนแก่กิจการเอสเอ็มอี ซึ่งได้สิ้นสุดระยะเวลาให้ส่งเสริมไปก่อนหน้านี้ในปี 2554 โดยจะพิจารณาให้สอดคล้องกับมาตรการส่งเสริมการลงทุนภายใต้ยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อให้สามารถสนับสนุนกิจการของเอสเอ็มอีไทยในกลุ่มที่อาจเลิกให้การส่งเสริม

นอกจากนี้ บีโอไอยังมีแนวคิดที่จะเสนอให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุนเพื่อเพิ่มเครื่องมือใหม่ในการให้สิทธิประโยชน์ เพื่อดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายได้มากขึ้น รวมทั้งเพื่อเพิ่มการส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ

“ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ปัจจัยต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก บีโอไอจึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับทิศทางยุทธศาสตร์การส่งเสริมการลงทุนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งต้องสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคตตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อให้ประเทศไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันกับนานาประเทศ และมีการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว” เลขาธิการบีโอไอกล่าว

ทั้งนี้ ภายใต้ร่างยุทธศาสตร์ใหม่ บีโอไอมีแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนจากเดิมที่ให้ส่งเสริมเกือบทุกกิจการมาเป็นส่งเสริมแบบมีเป้าหมายชัดเจน เน้น 10 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ได้แก่ 1.กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ 2.กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน 3.กลุ่มอุตสาหกรรมการแพทย์และเครื่องมือวิทยาศาสตร์ 4.กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานทดแทนและบริการด้านสิ่งแวดล้อม 5.กลุ่มธุรกิจบริการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม 6.กลุ่มเทคโนโลยีพื้นฐานขั้น 7. อุตสาหกรรมอาหารและแปรรูปสินค้าเกษตร 8. อุตสาหกรรม Hospitality & 9.อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์10. อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า-กภ-