จีอี เฮลท์แคร์ เผยผลวิจัยพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆ ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโรคมะเร็งทั่วโลกเพิ่มขึ้น 33.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--9 ก.ค.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ คอนซัลติ้ง

การลดพฤติกรรมไม่เหมาะสมต่างๆ เช่นการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บริโภคอาหารที่มีโภชนาการต่ำ และหันมาออกกำลังกาย จะช่วยให้ทั่วโลกประหยัดได้ถึงปีละ 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ อี เฮลท์แคร์เผยผลการวิจัยขั้นทุติยภูมิระบุว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและวิธีการดำเนินชีวิตมีส่วนทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคมะเร็งถึงปีละประมาณ 33.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ผลการวิจัยยังระบุว่า หากมีการลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ลงได้ โลกเราจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพได้ถึงปีละ 25 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จีอี เฮลท์แคร์ ได้มอบหมายให้ GfK Bridgehead ดำเนินการวิจัยเมื่อเดือนพฤษภาคมและเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา โดยเน้นการวิจัยเรื่องผลกระทบของพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่สำคัญ 4 ด้านคือ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การบริโภคอาหารโภชนาการต่ำ และการออกกำลังกายที่น้อยเกินไป ต่อการเกิดมะเร็งสามประเภท คือ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่ การวิจัยนี้ได้ทำการศึกษาถึงค่าใช้จ่ายด้านโรคมะเร็งที่มีผลเนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศที่กำลังพัฒนา 10 ประเทศ คือ บราซิล จีน ฝรั่งเศส เยอรมัน อินเดีย ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย ตุรกี สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา นายจอห์น ดินีน ประธานและหัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร จีอี เฮลท์แคร์ กล่าวว่า ‘น่าตกใจมากกับการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายทั่วโลกที่มีผลสืบเนื่องมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมที่ได้จากการวิจัยนี้ แต่ผมมั่นใจว่าเราสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตเล็กน้อย และมุ่งมั่นที่จะดูแลตนเอง ข้อมูลที่ได้รับนี้ยืนยันว่าโครงการ #GetFit ของเราสำคัญอย่างไรในการผลักดันในด้านการให้ความรู้ และการตระหนักรู้เกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพ การตรวจวินิจฉัยโรคแต่เนิ่นๆ รวมถึงความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง’ งานวิจัยยังแยกข้อมูลให้เห็นว่า ในสิบประเทศที่ทำการวิจัย ประเทศใดมีค่าใช้จ่ายด้านมะเร็งเท่าใด จากจำนวนค่าใช้จ่ายทั้งหมด 33.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคมะเร็งทั้งปีในปัจจุบัน และคำนวณว่าในปีนั้นอาจประหยัดได้เท่าใด หากลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมลงได้ สหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านการรักษาโรคมะเร็งต่อปี 18.41 พันล้านเหรียญฯ ซึ่งคิดเป็น 54% ของค่าใช้จ่ายทั่วโลก ตามด้วยจีน 8.57 พันล้านเหรียญฯ (25.3%) ฝรั่งเศส เยอรมัน และ ตุรกี ประมาณ 1.5 พันล้านเหรียญฯ (4.4%) ส่วนในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น บราซิล ซึ่งมีค่าใช้จ่าย 378 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.1%) และซาอุดิอาระเบีย 107 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (0.3%) มีค่าใช้จ่ายด้านมะเร็งน้อยกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างมาก ในขณะที่มีการยอมรับกันมานานแล้วว่า การสูบบุหรี่มีส่วนนำไปสู่การพัฒนาของโรคมะเร็งปอด ข้อมูลจากการวิจัยนี้ได้เผยให้เห็นว่า พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมอื่นๆ เช่นการไม่เคลื่อนไหวร่างกายหรือไม่ออกกำลังกาย และโภชนาการที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น นอกจากเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการไม่ออกกำลังกายและการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น การวิจัยนี้แสดงให้เห็นเพิ่มเติมว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกายมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เพิ่มขึ้น (คะแนนความเสี่ยง = 1.61 ซึ่งหมายความว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่าคนที่ออกกำลังกายถึง 61%) และการไม่ออกกำลังกายเป็นสาเหตุให้เกิดค่าใช้จ่ายในการรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่ทั่วโลกถึง 160 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับประเทศไทย จากรายงานทะเบียนมะเร็งระดับโรงพยาบาลฉบับที่ 27 ประจำปี 2554 (2011 Hospital-Based Cancer Registry) ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งแสดงข้อมูลผู้ป่วยรายใหม่ที่มารับบริการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2554 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ระบุว่า มะเร็งที่พบมาก 3 อันดับแรกในผู้ชาย คือ มะเร็งลำไส้ใหญ่ (16.2%) มะเร็งหลอดลมและปอด (15.5%) และมะเร็งตับและท่อน้ำดี (15.3%) และมะเร็งที่พบมาก 3 อันดับแรกในผู้หญิง คือ มะเร็งเต้านม (37.5%) มะเร็งปากมดลูก (14.4%) และมะเร็งลำไส้ใหญ่ (9.6%) โดยตรวจพบมากที่สุดในผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป และมีผู้ป่วยมะเร็งมากที่สุดอยู่ในภาคกลาง คิดเป็น 51.9% โดยในจำนวน 26 จังหวัดของภาคกลาง พบผู้ป่วยมะเร็งมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร (26.1%) ภาคที่พบผู้ป่วยมะเร็งรองลงมาคือ ภาคเหนือ (9.7%) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (8.3%) และภาคใต้ (4%) รายงานระบุว่าผู้เข้ารับการวินิจฉัยที่เป็นผู้ชายมีมากถึง 33.9% ที่เมื่อมาวินิจฉัยก็พบว่าเป็นมะเร็งในระยะที่สี่แล้ว ส่วนผู้เข้ารับการวินิจฉัยที่เป็นผู้หญิงตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะที่สามมากที่สุดถึง 23.4% รายงานยังระบุว่ามีการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดมากที่สุด (38%) รองลงมาคือการใช้เคมีบำบัด (36.7%) งานวิจัยที่จีอี เฮลท์แคร์จัดทำขึ้นนี้ระบุอีกว่า ครึ่งหนึ่งของการเสียชีวิตที่มีสาเหตุจากโรคมะเร็งสามารถป้องกันได้ โดยการเลือกสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เช่น การดูแลน้ำหนักเพื่อสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกาย และรับการตรวจคัดกรองมะเร็ง อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้และข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้ให้เห็นว่าพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมยังคงมีอยู่มากในทุกประเทศ ประชากรมากกว่า 25% ของเจ็ดในสิบประเทศที่ทำการวิจัย ยังคงสูบบุหรี่เป็นประจำ การสูบบุหรี่มีมากที่สุดในประเทศฝรั่งเศสและตุรกี ซึ่งมีผู้ที่มีอายุมากกว่า 15 ปี สูบบุหรี่ถึง 31% ในกลุ่มผู้สูบบุหรี่ หญิงชาวฝรั่งเศส และชายชาวตุรกี จัดอยู่อันดับสูงที่สุด คิดเป็น 31% และ 47% ตามลำดับ ชาวซาอุดิอาระเบียและสหราชอาณาจักร มีการเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ในอันดับต่ำ โดยชาวซาอุดิอาระเบียและ สหราชอาณาจักรที่มีอายุมากกว่า 18 ปี ใช้ชีวิตแบบอยู่กับที่ 68.8% และ 63.3% ตามลำดับ ในขณะที่ชาวอินเดีย และชาวเยอรมัน ใช้ชีวิตแบบอยู่กับที่เพียง 15.6% และ 28% ตามลำดับ การวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ #GetFit ของจีอี เฮลท์แคร์ ซึ่งรณรงค์ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงการป้องกันโรคมะเร็ง ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดผลการวิจัยและข้อมูลต่างๆ ได้ที่ http://newsroom.gehealthcare.com แคมเปญ # GetFit 2013 ของจีอีเฮลธ์แคร์ (www.ge-getfit.com) ดำเนินการจนถึงกลางเดือนกรกฎาคม และใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึงรวมถึง Instagram, SinaWeibo ในประเทศจีน และ Twitter เพื่อกระตุ้นความสนใจและการมีส่วนร่วมของผู้คนทั่วโลกในการร่วมกันส่งเสริมพฤติกรรมที่ส่งผลดีต่อสุขภาพอันจะสามารถช่วยลดโอกาสของการเกิดโรคมะเร็งได้ -นท- สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวเครื่องดื่มแอลกอฮอล์+จีอี เฮลท์แคร์วันนี้

สคล.จัดเสวนาภาครัฐและเอกชนเมืองจันทร์ จับมือร่วมสร้างพื้นที่ท่องเที่ยวปลอดภัย สร้างความเข้าใจข้อกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ

สำนักงานเครือข่ายองค์กรงดเหล้า (สคล.) โดยการสนับสนุนของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนาในหัวข้อ "การปฏิบัติตามข้อกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อส่งเสริมการพัฒนาพื้นที่ท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน" โดยเป็นการแลกเปลี่ยนและชี้แจงข้อกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่สาธารณะ โดยเชิญผู้ประกอบการร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก และผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวในจังหวัดจันทบุรี ในการนี้ นายสมพร กาญจน์นิรันดร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ให้เกียรติรับฟังผลสรุปการ

กทม. บูรณาการทุกภาคส่วนร่วมดูแลความปลอดภัยคนกรุงฯ ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 68

นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ (สนพ.) กทม. กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมของสถานพยาบาลในสังกัด กทม. เพื่อดูแลความปลอดภัยประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2568 ว่า สนพ. เล็งเห็นผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โดย...

ชุมชนบ้านป่าดำ หมู่ที่ 13 ตำบลบ้านโฮ่ง อำ... ชุมชน "ต้นแบบงดเหล้า" บ้านป่าดำ : ก้าวสู่ความยั่งยืนด้วยพลังคนสามวัย — ชุมชนบ้านป่าดำ หมู่ที่ 13 ตำบลบ้านโฮ่ง อำเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลำพูน ได้รับเลือกให้เป็...

นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักก... กทม. สร้างเครือข่ายเฝ้าระวังป้องกันบุหรี่-บุหรี่ไฟฟ้าโรงเรียนในสังกัด — นางสาวพิศมัย เรืองศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา (สนศ.) กทม. กล่าวถึงมาตรการป้องกั...

นายบัญชา สืบกระพัน ผู้อำนวยการเขตสวนหลวง ... เขตสวนหลวงรุดแก้ปัญหาร้านอาหารใน ซ.สุขุมวิท 81 เปิดเพลงเสียงดัง-เปิดเกินเวลา — นายบัญชา สืบกระพัน ผู้อำนวยการเขตสวนหลวง กทม. กล่าวกรณีมีข้อร้องเรียนจากประ...

โรงแรม อวานี พัทยา รีสอร์ท ชวนเที่ยวทะเลอ... โรงแรม อวานี พัทยา รีสอร์ท ชวนลดหย่อนภาษี "Easy E-Receipt" — โรงแรม อวานี พัทยา รีสอร์ท ชวนเที่ยวทะเลอย่างสุดคุ้มเมื่อคุณมาใช้บริการร้านอาหาร และสปา ของโร...

นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำน... กทม. เตรียมพร้อมด้านการแพทย์-Sandbox ด่านชุมชนจากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 — นางเลิศลักษณ์ ลีลาเรืองแสง ผู้อำนวยการสำนักการแพทย์ (สนพ.) กทม. กล่าวถึ...