ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ร่วมกับบริษัท ทีเอส แฟมิลี่ กรุ๊ป จำกัด จัด “งานแถลงข่าวและพิธีลงนามในสัญญาสินเชื่อเพื่อก่อสร้างโรงแรม เดอะ แกรนด์ เฮอริเทจ เรสซิเด้นท์” ชูคอนเซปต์ Green & Halal พร้อมรองรับลูกค้าในตลาดอาเซียนและตะวันออกกลางรวมทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทย เช้าวันนี้ (4 พ.ย. 2556) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โดย ร.ต.อ.ภูมินทร์ พึ่งสุจริต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่มงาน ธุรกิจ SMEs ลงนามในสัญญาสินเชื่อเพื่อก่อสร้างโรงแรม เดอะ แกรนด์ เฮอริเทจ เรสซิเด้นท์ ร่วมกับ บริษัท ทีเอส แฟมิลี่ กรุ๊ป จำกัด ซึ่งบริหารงานโดย คุณรอศักดิ์ มูลทรัพย์ ประธานกรรมการบริษัทฯ โดยเปิดเผยถึงที่มาของโครงการนี้ว่า “ โรงแรม เดอะ แกรนด์ เฮอริเทจ เรสซิเดนท์ นั้น เป็นโรงแรม Green & Halal ระดับ 4 ดาว แห่งเดียวย่านกรุงเทพตะวันออก ที่มุ่งเน้นตอบสนองกลุ่มลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศเทศ โดยเฉพาะจากกลุ่มมุสลิมในประเทศอาเซียนและตะวันออกกลางที่เดินทางเข้าออกประเทศไทย
เพื่อการท่องเที่ยว ประชุมสัมมนา และเข้ารับการรักษาพยาบาลในประเทศไทยที่ได้รับความเชื่อมั่นจากนานาชาติ ทั้งนี้เรามุ่งหวัง ให้ เดอะ แกรนด์ เฮอริเทจ เรสซิเดนท์ แห่งนี้ สร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้าและทำให้เกิดมิติใหม่ในวงการของผู้ประกอบการมุสลิม
ด้วยแนวคิด Green&Halal เป็นหลัก เพราะนอกจากเราจะให้บริการห้องพักมากกว่า 250 ห้อง เรายังมีห้องละหมาด ห้องประชุมสัมมนา ห้องจัดเลี้ยงที่หรูหราสะดวกสบายและครบวงจร ภายใต้พื้นที่ใช้สอยกว่า 20,000 ตารางเมตร
นอกจากนี้การบริหารจัดการยังเป็นไปตามหลักการศาสนาอิสลามและส่งเสริมการดำเนินงานที่อนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย” ด้าน ร.ต.อ. ภูมินทร์ เปิดเผยเพิ่มเติมว่า “การเป็นแหล่งเงินทุนให้กับลูกค้ามุสลิมในภาคธุรกิจเพื่อก้าวไปสู่การแข่งขันในเวทีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และผลักดันให้ผู้ประกอบการมุสลิมประสบความสำเร็จในระดับภูมิภาคนั้นถือเป็นหน้าที่สำคัญของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยและเป็นเจตนารมณ์ในการก่อตั้งธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ที่มุ่งเป็นธนาคารเพื่อพี่น้องมุสลิม ทั้งนี้ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้น
ธนาคารได้ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการชาวมุสลิมทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิดการเป็นสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามหลักชะรีอะฮ์ซึ่งโครงการฯนี้ ธนาคารได้ร่วมลงทุนกับลูกค้าเพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจของลูกค้าที่จะตองสนองพี่น้องชาวไทยมุสลิม และชาวมุสลิมในภูมิภาคที่มีกว่า 300 ล้านคนที่จะเดินทางมาในประเทศไทยและได้พำนักในโรงแรมที่มีการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกับหลักทางศาสนา การร่วมทุนในครั้งนี้ยังเป็นการส่งเสริมนโยบายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community)อีกด้วย“