หอการค้าฯ คาดเศรษฐกิจขยายตัวไตรมาส 4 ค้าปลีก 2556 เติบโตชะลอ ตามกำลังซื้อ และภาระหนี้สินของผู้บริโภค แนะผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งเร่งปรับตัวรับเศรษฐกิจที่ยังคงผันผวน

ข่าวประชาสัมพันธ์ »

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--หอการค้าไทย

หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 56 จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะดีขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คาดธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งเติบโตชะลอตามกำลังซื้อและภาระหนี้สินของผู้บริโภค แนะผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งเร่งปรับตัวรองรับเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังคงผันผวน เสนอแนะภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรคของธุรกิจการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว หวังทดแทนกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง นายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าโดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีแรกยังคงชะลอตัวลงเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจโลก ดังจะเห็นได้จากหน่วยงานวิเคราะห์เศรษฐกิจ อาทิ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ต่างก็มีการปรับประมาณการตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจของไทยลงเหลือประมาณ 3.8-4.3% ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และยุโรป รวมทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้การส่งออกโดยรวมในครึ่งปีแรกของไทยลดลง ส่งผลให้รายได้ของผู้ประกอบการและแรงงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออกลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้น ราคาสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ก็มีราคาลดลงทำให้เกษตรกรของเรามีกำลังซื้อน้อยลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีแรกที่ผ่านมา การค้าชายแดนและการท่องเที่ยวได้เข้ามามีส่วนสำคัญที่ช่วยฉุดให้เศรษฐกิจของเราไม่ทรุดตัวลงไปมากนัก ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการค้าชายแดนแทบทุกด่านรอบประเทศของเรามีอัตราการขยายตัวทางการค้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งตัวเลขนักท่องเที่ยวก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน และเชื่อว่าในครึ่งปีหลังการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวก็จะยังเป็นตัวสำคัญที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของไทย ดังนั้น ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญ โดยเร่งแก้ไขปัญหาและอุปสรรค รวมทั้ง หามาตรการต่าง ๆ มาสนับสนุนและส่งเสริมให้กับทั้งสองธุรกิจนี้ สำหรับเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง คาดว่าเศรษฐกิจของสหรัฐและญี่ปุ่นจะดีขึ้น ในขณะที่ยุโรปและจีนคงจะทรงตังหรือดีขึ้นเล็กน้อย พร้อมทั้งคาดว่ารัฐบาลคงจะมีนโยบายออกมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปี 56 ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 57 คงจะได้เห็นว่าเศรษฐกิจของไทยเริ่มกระเตื้องขึ้น นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล ประธานคณะกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ภาวะธุรกิจค้าปลีกในช่วงครึ่งแรกปี 2556 เติบโตต่ำกว่าประมาณการ โดยอยู่ที่ 7-8% และทั้งปีคาดว่าจะขยายตัวไม่เกิน 10% โดยกลุ่มสินค้าที่ยังขยายตัวดีจะเป็นเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหาร เพราะเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อการบริโภค การชะลอตัวส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยหลัก ๆ คือ กำลังซื้อที่ชะลอตัวอันเป็นผลมาจากราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงทรงตัวในระดับต่ำ อีกทั้งภาคการส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลัก โดยเฉพาะจีน ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และยุโรป ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บริโภคยังมีความกังวลต่อประเด็นเรื่องค่าครองชีพ/ต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ยังไม่มีแนวโน้มจะลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะเริ่มมีการปรับราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือนอีก 0.50 บาท/กิโลกรัม ทุกเดือนตั้งแต่ ก.ย. 2556 อีกทั้งถูกกดดันด้วยภาระหนี้สินของครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นประมาณ 80% ต่อ GDP ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการจับจ่ายใช้สอยในอนาคต เนื่องจากกำลังซื้อที่ลดลงจากเงินจับจ่ายของประชาชนส่วนหนึ่งถูกแบ่งไปใช้สำหรับผ่อนชำระจากการซื้อรถยนต์คันแรก รวมไปถึงอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นภาระผูกพันที่ต่อเนื่อง เป็นผลให้มีการระมัดระวังการใช้จ่าย ตัดลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เปรียบเทียบราคา คำนึงถึงคุณภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันภาคธุรกิจยังอยู่ในช่วงที่รอประเมินแนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจ-การเมืองในประเทศ เป็นผลให้ชะลอการลงทุนใหม่และการจ้างงานเพิ่มสัญญาณลบต่าง ๆ เหล่านี้ เริ่มสะท้อนภาพมาสู่การปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเพียง 3.8-4.3% เท่านั้น ขณะที่ภาคค้าปลีกและค้าส่ง 5 เดือนที่เหลือของปี 2556 นั้น คาดว่าจากภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ และยังไม่มีปัจจัยบวกเสริมที่ชัดเจนที่จะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชน ทำให้คาดว่าธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งอาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่ตั้งเป้าไว้ ทั้งนี้หากไม่ได้รับการสนับสนุน และร่วมมือกันแก้ไข-กระตุ้นกำลังซื้อ และความเชื่อมั่นอย่างจริงจังทั้งจากภาครัฐและเอกชน ภาคค้าปลีกอาจจะขยายตัวได้เพียง 6-8% ทำให้ผู้ค้าปลีกต้องดิ้นรนแข่งขันกันกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย แต่หากจะให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืน ผู้ค้าปลีกควรเน้นไปที่การร่วมมือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ทำงานร่วมกันทั้ง Supply Chain เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการเข้าถึงความต้องการผู้บริโภค พัฒนาคุณภาพสินค้า สร้างความแตกต่าง สร้างมูลค่าเพิ่ม รวมไปถึงลดต้นทุนและความซ้ำซ้อนในองค์กร และที่สำคัญเป็นโอกาสในการวิเคราะห์ตนเอง หาจุดในการพัฒนาและดึงศักยภาพในแต่ละด้านมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งด้านคน เทคโนโลยี และใช้องค์ความรู้ต่าง ๆ ต่อยอดเป็นนวัตกรรม เพื่อรับมือการแข่งขันค้าปลีกไม่เพียงในประเทศแต่เพื่อรองรับการก้าวสู่ AEC อีกด้วย ไม่เพียงผู้ประกอบการเท่านั้นที่ต้องปรับตัว การเตรียมความพร้อมและนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่ออกมาล้วนมีบทบาทต่อความอยู่รอดของธุรกิจค้าปลีก ซึ่งหากมีการกระตุ้น สนับสนุน ส่งเสริมที่เหมาะสมก็จะส่งผลดีในองค์รวมต่อภาคธุรกิจ เนื่องจากภาคค้าปลีก เป็นส่วนที่สำคัญและมีผลต่อการเติบโตของระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับจำนวนแรงงานและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมากมาย ทั้งการผลิตบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง เป็นต้น ดังนั้น ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมและเข้ามาช่วยพัฒนาและกระตุ้นอย่างจริงจัง เพราะหากสามารถดึงกำลังซื้อกลับมาจับจ่ายในประเทศได้จะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคค้าปลีกไปพร้อมกัน ทั้งนี้ในระยะสั้น ควรมีมาตรการมาตรการช่วยลดค่าครองชีพประชาชน รวมไปถึงสร้างความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว ส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามา Shopping มากขึ้น และส่งเสริมการค้าชายแดน เพื่อทดแทนกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลงส่วนในระยะปานกลาง-ระยะยาว นโยบายสนับสนุนของภาครัฐควรจะมุ่งไปที่การส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันที่เป็นธรรม การเติบโตอย่างยั่งยืนแบบมีส่วนร่วม รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ - การพัฒนา - เตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยสนับสนุนภาคค้าปลีกตลอดทั้ง Supply Chain ทั้งด้าน Logistics ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีต้นทุนที่ต่ำลง รวมไปถึงส่งเสริมให้เกิดการลดต้นทุนในการผลิต-การดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของการประหยัดพลังงาน - ส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มมูลค่าจากความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) นวัตกรรม ควรส่งเสริมให้เกิดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น ทั้งด้านส่งเสริมเงินลงทุนต้นทุนต่ำสำหรับการทำ R&D งานวิจัยเพื่อเพิ่ม Productivity เป็นต้น - สนับสนุนช่องทางในการพัฒนา ฝึกอบรม เตรียมความพร้อมทางด้านแรงงานให้พร้อมรองรับการแข่งขัน โดยอาจจะต้องมีการปรับรูปแบบการศึกษา ให้เน้นไปที่การเรียนควบคู่ไปกับการปฏิบัติมากขึ้น - ส่งเสริมให้มีผู้ประกอบการ Supporting Industry มากขึ้น เพื่อที่จะได้มีทางเลือกและมีต้นทุนที่ต่ำลง รวมไปถึงควบคุมด้านคุณภาพและมาตรฐาน - การส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้ใช้ประโยชน์จากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นทางเลือกในการจำหน่ายสินค้าเพิ่มขึ้น โดยต้องมีมาตรฐานการควบคุมที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรหลักด้านธุรกิจของภาคเอกชน มีหน้าที่ในการส่งเสริมการค้าและพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ที่ผ่านมา นอกจากจะทำหน้าที่พัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการแล้ว ยังส่งเสริมให้มีการดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส มีจรรยาบรรณ และธรรมาภิบาล เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ-กภ-

ข่าวสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย+หอการค้าแห่งประเทศไทยวันนี้

สมาคมประกันวินาศภัยไทย คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ "สมาคมการค้ายอดเยี่ยม" และ "นายกสมาคมการค้าดีเด่น" ประจำปี 2568

สมาคมประกันวินาศภัยไทย ตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นสมาคมการค้าที่มีการบริหารจัดการองค์กรที่เป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง คว้า 2 รางวัลเกียรติยศ ได้แก่ รางวัล "สมาคมการค้ายอดเยี่ยม" และ "นายกสมาคมการค้าดีเด่น (ดร.สมพร สืบถวิลกุล)" ประจำปี 2568 จากการประกวดสมาคมการค้าดีเด่น ประจำปี 2568 (Trade Association Prestige Award 2025) จัดโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย โดยมี ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เข้ารับรางวัลจาก นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับหอการค้าไทย... หอการค้าไทย ร่วมกับ ม.หอการค้าไทย จัดโครงการ "UTCC Tutor ติวทั่วไทย พิชิตมหาวิทยาลัยในฝัน" — มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ร่วมกับหอการค้าไทย และหอการค้าจังหวัด...

กรมที่ดินได้รับมอบรางวัล "สำเภา นาวาทอง" ... กรมที่ดินคว้ารางวัล "สำเภา-นาวาทอง" 4 ปีซ้อน ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านการอำนวยความสะดวกภาคธุรกิจ — กรมที่ดินได้รับมอบรางวัล "สำเภา นาวาทอง" ประเภทหน่วยงานระด...