ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics ชี้ ประชากรไทยวัยแรงงานส่วนใหญ่ ปัจจุบันยังไม่มีหลักประกันการออมในระบบ ส่อแววเงินไม่พอยังชีพหลังเกษียณ รัฐควรเร่งส่งเสริมเพิ่มการออมในระบบ ก่อนภาระทางการเงินการคลังประเทศพุ่ง เมื่อไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มตัว
ปัจจุบันการออมเพื่อการเกษียณอายุของคนไทยจัดว่าอยู่ในระดับต่ำ เพราะจำนวนคนที่อยู่ในกลุ่มการออมในระบบ มีเพียงร้อยละ 37 ของจำนวนแรงงานทั้งประเทศ ได้แก่ สมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ผู้จ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม และ ลูกจ้างของบริษัทที่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (ซึ่งเป็นสมาชิกกองทุนประกันสังคม ม.33 ด้วย) นอกจากนี้ กลุ่มคนที่มีการออมภาคสมัครใจอื่นๆ ผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และ กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก็จะอยู่ในระบบการออมดังที่กล่าวข้างต้นอยู่แล้ว
นั่นหมายความว่า ประชากรไทยวัยแรงงานอีกกว่าร้อยละ 60 ไม่ได้มีหลักประกันเงินออมในระบบ ประกอบด้วยกลุ่มอาชีพอิสระซึ่งอาจมีรายได้ไม่แน่นอน กับ กลุ่มแรงงานนอกระบบซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรมและมีการศึกษาไม่สูงนัก การส่งเสริมให้แรงงานกลุ่มนี้เข้ามาในระบบการออมจึงถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสามารถช่วยบรรเทาภาระการคลังด้านงบประมาณที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุที่จะเพิ่มจาก 2.9 แสนล้านบาทในปีงบประมาณ 2557 เป็น 16.6 ล้านล้านบาท ในปีงบประมาณ 2606 หรือ คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้นถึงกว่า 50 เท่า ดังที่เคยมีการประเมินโดยนักวิชาการของสำนักเศรษฐกิจการคลัง
สังคมผู้สูงอายุกำลังจะเป็นปัญหาสำคัญของไทยในอนาคตอันใกล้ ด้วยในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า จะมีสัดส่วนประชากรสูงอายุถึงราวหนึ่งในห้าของประชากรไทย นั่นหมายถึง จำนวนคนที่ยังต้องใช้เงินแต่มีข้อจำกัดในการหาเงินด้วยสังขารที่ร่วงโรย จะมีสัดส่วนมากขึ้นเป็นลำดับ ทางเดียวที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเงินไม่พอใช้ยามชรา คือ การเก็บออมให้กับตัวเองยามที่ตนยังมีกำลังวังชา การออมในระบบจึงเป็นวาระสำคัญที่ภาครัฐควรเข้ามาเร่งบริหารจัดการ เพื่อป้องกันปัญหาความไม่เพียงพอของเงินหลังเกษียณที่จะกลายมาเป็นภาระหนักในการจัดสรรงบประมาณของประเทศสำหรับการดูแลผู้สูงอายุในอนาคต