โดยภาพรวม ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ ในปี 2557 ที่ผ่านมา มีภาวะที่ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้ ทั้งนี้ แม้ความผันผวนทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีจะมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท แต่พบว่าส่วนใหญ่สามารถฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนในปี 2558 นี้ แม้แนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมอาจยังไม่มีสดใสนัก แต่เชื่อว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ จะมีภาวะที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์)
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ ในปีที่ผ่านมา สามารถฟื้นตัวดีขึ้นได้ค่อนข้างดี โดยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทที่เจแอลแอลศึกษา ได้แก่ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และคอนโดมิเนียมระดับหรู ยังคงสามารถมีค่าเช่าและราคาปรับเพิ่มสูงขึ้นได้”
“ปัจจัยสำคัญๆ ที่ช่วยพยุงตลาดอสังหาริมทรัพย์ไว้ในปีที่ผ่านมา คือ การที่ดีมานด์ (อุปสงค์) และซัพพลาย (อุปทาน) ในตลาดมีสมดุลที่ค่อนข้างดี และการที่สถานการณ์ทางการเมืองกลับมามีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี” นางสุพินท์อธิบาย
สำหรับแนวโน้มปี 2558 มีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้เจแอลแอลเชื่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของกรุงเทพฯ ในปีนี้จะมีแนวโน้มที่ดีกว่าปี 2557
- นอกจากสถานการณ์ทางการเมืองที่มีเสถียรภาพมากขึ้น คาดว่าแผนการปฏิรูปประเทศจะช่วยให้มีความชัดเจนมากขึ้นในแง่ของนโยบายและทิศทางทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งจะช่วยให้บรรยากาศในธุรกิจและความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น
- แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ การใช้จ่าย และการลงทุนจากภาครัฐฯ ในโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่างๆ คาดว่าจะเริ่มเห็นผลในปีนี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายความต้องการในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
- ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยสำหรับปีนี้ จะยังคงอยู่ระดับต่ำ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องอาศัยเงินกู้จากสถาบันการเงินแล้ว ยังเป็นประโยชน์ต่อความสามารถในการซื้อในภาคที่อยู่อาศัยด้วย
- ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลงมากกว่าครึ่งนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2557 และราคาน้ำมันดิบในตลาดเบรนท์ปรับตัวลดลงเหลือต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรลนับตั้งแต่ปี 2552 ซึ่งราคาน้ำมันที่ลดลงนอกจากจะส่งผลดีโดยตรงต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศแล้ว ยังส่งผลดีทางอ้อมต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ด้วย เนื่องจากช่วยให้ผู้บริโภคมีค่าใช้จ่ายลดลง และมีกำลังซื้อมากขึ้น
- ผู้พัฒนาโครงการและนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงมีทุนหนา และมีความต้องการสูงในการลงทุน ทั้งการซื้ออาคารที่สามารถสร้างรายได้ให้ได้ในทันที และการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการใหม่
- ในปีที่ผ่านมา นโยบายการให้การจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Investment Trusts – REITs) แทนการจัดตั้งกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) เริ่มมีผลบังคงใช้ ทั้งนี้ REITs นับเป็นช่องทางการลงทุนที่มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ การเปิดให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลากหลายประเภทมากขึ้น รวมถึงการได้รับอนุญาตให้ลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้ (แต่ไม่เกิน 10% ของสินทรัพย์รวม) ในขณะที่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ไม่สามารถทำได้ คาดว่าการเปลี่ยนผ่านจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์มาเป็น REITs จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ต่อไป
ในขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยบางประการที่อาจสร้างความท้าทายให้กับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ โดยเฉพาะปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ซึ่งอุปสงค์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ต้องพึ่งพา
- หนี้สินภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้ภาคที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่มีระดับราคาปานกลางลงไปอาจไม่สามารถขยายตัวได้มากเท่าที่ควร
- ในขณะที่มีการประมาณการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวราว 4% ในปีนี้ แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ ซึ่งเกิดจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอก รวมถึงความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ภาพรวมปี 2557
ตลาดอาคารสำนักงาน
แม้จะมีปัจจัยลบต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ทางการเมือง พบว่า ค่าเช่าอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง จากการมีอาคารสร้างเสร็จใหม่ไม่มาก ในขณะที่มีความต้องการเช่าออฟฟิศสำนักงานอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์บริการข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ระบุว่า ในปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มียอดการเช่าพื้นที่สำนักงานเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 181,700 ตารางเมตร ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ที่มียอดการเช่าพื้นที่เฉลี่ยเพิ่ม 197,700 ตารางเมตรต่อปี
ส่วนพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2557 มีอัตราอยู่ที่ 9.2% ลดลงจาก 10.0% ณ สิ้นปี 2556 ทั้งนี้ อาคารสำนักงานเกรดเอในเขตศูนย์กลางธุรกิจมีที่พื้นที่ว่างเหลือเช่าเพียง 6.1% ลดลงจาก 9.0% ในช่วงเดียวกัน
การมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าลดลง ส่งผลเจ้าของอาคารยังคงสามารถปรับค่าเช่าเพิ่มสูงขึ้นต่อได้อีก โดยค่าเช่าเฉลี่ยรายเดือน ณ สิ้นปี 2557 อยู่ที่ตารางเมตรละ 490 บาท เพิ่มขึ้น 6.75% จาก 459 บาท ณ สิ้นปี 2556 ในขณะที่อาคารเกรดเอในย่านศูนย์กลางธุรกิจมีค่าเช่าเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2557 ที่ 771 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 5.6% จาก 730 บาท ณ สิ้นปี 2556 ทั้งนี้ มีอาคารเกรดเอบวกส่วนหนึ่งที่เรียกค่าเช่าสูงกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร
ตลาดศูนย์การค้า
ศูนย์การค้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทหนึ่งที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากสถานการณ์ทางการเมืองในปีที่ผ่านมา รวมถึงการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และการลดลงของลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ศูนย์บริการข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์ไทยของเจแอลแอล ระบุว่า ในปี 2557 ศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ มีค่าเช่าในระดับค่อนข้างคงที่ มีเพียงศูนย์การค้าเกรดเอที่อยู่ในเขตของการชุมนุมทางการเมือง ที่มีการปรับลดลงค่าเช่าลงชั่วคราวเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่อผู้ค้าที่เช่าพื้นที่ในศูนย์ แต่เมื่อความวุ่นวายทางการเมืองที่สงบลงในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้ตลาดฟื้นกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะศูนย์การค้าเกรดเอในทำเลชั้นดี ค่าเช่าเฉลี่ย ณ สิ้นปีปี 2557 ยังคงปรับเพิ่มขึ้นได้ 2.4% จากปีสิ้นปี 2556
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงตลาดศูนย์การค้าของกรุงเทพฯ ไว้ คือ การมีปริมาณดีมานด์และซัพพลายในระดับที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากอัตราการว่างของพื้นที่เช่าที่มีระดับต่ำ โดยเฉลี่ยทั้งตลาดอยู่ที่ประมาณ 7% ในขณะที่ศูนย์การค้าเกรดเอในทำเลชั้นดีมีพื้นที่ว่างเหลือเช่าเฉลี่ยเพียง 3.5%
ตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์
ในตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นด์ที่มีราคาตั้งแต่ตารางเมตรละ 150,000 บาทขึ้นไป พบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2557 ไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของผู้พัฒนาโครงการที่มีต่อสถานการณ์ทางการเมือง อย่างไรก็ดี หลังสถานการณ์สงบลงในช่วงครึ่งหลังของปี มีโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์เปิดตัวใหม่ คิดเป็นจำนวนรวม 1,140 ยูนิต สูงกว่าทั้งปี 2556 เล็กน้อย ซึ่งมีคอนโดไฮเอ็นด์เปิดตัวใหม่รวมกว่า 1,000 ยูนิต
จากการที่คอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์มีราคาตัวสูง ในขณะที่ตลาดปล่อยเช่ามีการแข่งขันสูงมากขึ้นทำให้ค่าเช่าปรับขึ้นได้ยาก ส่งผลให้การซื้อคอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์เพื่อปล่อยเช่า ให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยที่เพียงประมาณ 3.5% อย่างไรก็ดี ยังคงมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่อเนื่อง เนื่องจากนักลงทุนเหล่านี้ คาดหวังว่า มูลค่าราคาจะปรับขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
สำหรับในระยะสั้น โดยทั่วไปเมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ คอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์ มักมีมูลค่าราคาเพิ่มสูงขึ้นราว 20% จากราคาขายก่อนเริ่มก่อสร้าง ส่วนในระยะยาว มีแนวโน้มว่า คอนโดมิเนียมไฮเอ็นด์ในย่านศูนย์กลางธุรกิจจะมีมูลค่าราคาเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เหลือน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะที่ราคาที่ดินในย่านนี้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น
ธอส. กระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ปลายปี อัดโปรสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี เริ่มต้น 2.70% ต่อปี ในงาน "มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 48
ส่องเทคนิคเลือกซื้อ "บ้านมือสอง" อย่างไรให้คุ้มค่า
"CG Capital" Private Equity Fund อันดับ 1 ของประเทศจาก Central Group ทุ่มต่อจิ๊กซอว์กรุงเทพฯ สู่ "World Class City" เตรียมเปิด InterContinental Residences Bangkok Asoke มูลค่า 5,500 ล้านบาท เร็ว ๆ นี้
อนันดาฯ เปิดตัวแคมเปญ ลุยไตรมาส 4 #ดีลใหญ่ย้ายด่วน ช่วงเวลาดีที่สุดย้ายเข้าโครงการพร้อมอยู่ ดีลแรงจัดเต็ม!!! ลดสูงสุด 8 ลบ. รับเงินคืนสูงสุด 4 ลบ.
A5 ตอกย้ำผู้นำตลาดบ้านหรูกรุงเทพกรีฑา เปิดแบรนด์ใหม่ "Cinquieme" Private Pool Villa เดินหน้าลุย 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 6,130 ล้านบาท ภายในปี 2571
แสนสิริ ผู้นำอสังหาฯ เผยยอดขาย 9 เดือน อยู่ที่ 39,000 ลบ. รุกโค้งสุดท้ายเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่า 18,000 ลบ.
MMM นำเสนอข้อมูลนักวิเคราะห์ ก่อนเสนอขายหุ้น PO 64.20 ล้านหุ้น โชว์ศักยภาพ "ผู้นำด้านการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร"
EnCo ชวนอัปเดตทิศทางอสังหาฯ ไทย ปี 2569 ในงานสัมมนา "Thailand's Real Estate Outlook 2026" ฟรี!
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เปิดกลยุทธ์หนุนธุรกิจ Property Management โตต่อครึ่งปีหลัง โชว์ผลความพึงพอใจลูกค้าทะลุ 90%