Movie: BIRDMAN

23 Feb 2015
ภาพยนตร์เรื่อง BIRDMAN หรือ The Unexpected Virtue of Ignorance เป็นภาพยนตร์แนวตลกร้ายที่ถ่ายทอดเรื่องราวของนักแสดงชาย (ไมเคิล คีตัน) ผู้มีชื่อเสียงจากการรับบทซูเปอร์ฮีโร่เลื่องชื่อที่ต้องใช้ความพยายามในการแสดงละครบรอดเวย์ ช่วงหลายวันก่อนคืนเปิดการแสดงเขาต้องต่อสู้กับอีโก้และต้องพยายามประคองทั้งครอบครัว อาชีพการงาน และตัวเขาเองไว้ให้ได้

Fox Searchlight Pictures และ Regency Enterprises นำเสนอภาพยนตร์จาก a New Regency / M Productions / Le Grisbi production เรื่อง BIRDMAN นำแสดงโดย ไมเคิล คีตัน, แซ็ค แกลิเฟียนาคิส, เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน, แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์, เอมี่ ไรอัน, เอ็มม่า สโตน, นาโอมิ วัตส์, ลินด์เซย์ ดันแคน, เมอร์ริตต์ วีเวอร์, เจเรมี่ ชามอส, บิล แคมป์, ดาเมียน ยัง

กำกับภาพยนตร์โดย อเลฮังโดร จี. อินนาร์ริตู (BABEL, AMORES PERROS) เขียนบทภาพยนตร์โดย อเลฮังโดร จี. อินนาร์ริตู, นิโคลาส จิอาโคโบน, อเล็กซานเดอร์ ไดน์ลาริส จูเนียร์, อาร์มอนโด โบ อำนวยการสร้างโดย อินนาร์ริตู, จอห์น ลีเชอร์ (END OF WATCH), อาร์นอน มิลแชน (12 YEARS A SLAVE) และเจมส์ ดับบลิว. สกอตช์โดโพล (DJANGO UNCHAINED); อำนวยการสร้างบริหารโดย คริสโตเฟอร์ วูโดรว์ (KILLER JOE), มอลลี่ คอนเนอร์ส (FROZEN RIVER) และซาร่าห์ อี. จอห์นสัน (WISH I WAS HERE) ทีมผู้สร้างภาพยนตร์ยังรวมถึงผู้กำกับภาพ เอ็มมานูเอล ลูบีสกี้, ASC/AMC (GRAVITY); ผู้ออกแบบฉาก เควิน ธอมป์สัน (MICHAEL CLAYTON); ลำดับภาพโดย ดักลาส ไครซ์ (BABEL) และสตีเฟ่น เมอร์ริโอน, A.C.E. (AUGUST: OSAGE COUNTY); คัดเลือกนักแสดงโดย แฟรนไซน์ ไมสเลอร์, CSA (12 YEARS A SLAVE); ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย อัลเบิร์ต โวลสกี้ (REVOLUTIONARY ROAD) และดนตรีกลองประกอบภาพยนตร์โดย แอนโดตนิโอ แซนเชซ“โชคชะตาได้พาเราสู่ความสำเร็จที่เราปรารถนาเกินกว่าที่เราคาดไว้”– Don Quixote โดย มิกูเอล เดอ เซอร์แวนเทส

ในภาพยนตร์ตลกร้ายเรื่อง BIRDMAN ของอเลฮังโดร จี. อินาร์ริตู ริกแกน ธอมป์สัน (ไมเคิล คีตัน) หวังว่าการรับบทนำในละครบรอดเวย์เรื่องใหม่ที่เขาจะแสดง จะเป็นการปลุกตำนานในสายอาชีพของเขาขึ้นมาได้อีกครั้ง มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสุดขีด แต่อดีตซูเปอร์ฮีโร่ในหนังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าความสร้างสรรค์ของเขาจะทำให้เขาเป็นศิลปินที่ถูกต้อง และพิสูจน์ให้ใครทุกคนรวมถึงตัวเขาเห็นว่าเขาไม่ใช่แค่นักแสดงฮอลลีวูดอย่างที่เคยเป็น

ในคืนที่จะมีการเปิดตัวการแสดง นักแสดงนำของริกแกนได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุร้ายแรงระหว่างการฝึกซ้อมจนต้องเปลี่ยนตัวนักแสดงอย่างกระทันหัน จากคำแนะนำของ เลสลีย์ (นาโอมิ วัตส์) นางเอกของเรื่องและผู้เป็นทั้งเพื่อนสนิทและผู้อำนวยการสร้างฯ เจค (แซ็ค แกลิเฟียนาคิส) ริกแกนต้องฝืนใจจ้างไมค์ ไชเนอร์ (เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน) เขาเป็นคนอารมณ์ร้อนแต่การันตีได้ในเรื่องการขายบัตรชมการแสดงและการได้รับคำชมสู่ผลงาน ช่วงที่เขาต้องเตรียมตัวสำหรับละครเวทีเป็นครั้งแรก เขาต้องรับมือกับแฟนสาวและเพื่อนร่วมแสดงของเขา ลอว์ร่า (แอนเดรีย ไรซ์โบโรห์) ลูกสาวที่เพิ่งออกมาจากการบำบัดและผู้ช่วยส่วนตัว แซม (เอ็มม่า สโตน) รวมถึงอดีตภรรยาของเขา ซิลเวีย (เอมี่ ไรอัน) ที่มาให้เห็นหน้าบ่อยๆ เพื่อสร้างความสมดุลให้ทุกสิ่ง

อินนาร์ริตูเล่าถึงองค์ประกอบเรื่องราวของริกแกนที่สะท้อนถึงเขา โดยเฉพาะความสำเร็จที่ไม่ยั่งยืนและความสงสัยในเรื่องความสอดคล้องกัน “ผมสนใจที่จะได้วิเคราะห์เรื่องการต่อสู้กับอีโก้ แนวคิดที่ว่าไม่สำคัญว่าเราจะประสบความสำเร็จขนาดไหน ทั้งด้านเงินทองหรือการเป็นที่ยอมรับ เมื่อถึงเวลาที่เราต้องวิ่งตามสิ่งที่เราคิดว่าต้องการและโน้มน้าวผู้คนเพื่อให้ยอมรับเรา เมื่อเราได้มันมาแล้วหลังจากนั้นเราจะมีความสุขกับมันได้เพียงไม่นาน”

“ริกแกนเป็นคนที่มีความคิดลึกซึ้งมาก” อินนาร์ริตูกล่าว “ผมมองเขาเหมือน Don Quixote ที่อารมณ์ขันเกิดจากความแตกต่างและความแตกแยกอย่างถาวรที่อยู่ในความรู้สึกของเขาลึกๆ และความจริงอันโหดร้ายที่วนเวียนอยู่รอบตัวเขา โดยพื้นฐานแล้วมันคือเรื่องราวที่เกี่ยวกับเราทุกคน”“ผมรักตัวละครที่มีข้อบกพร่อง เอาแน่นอนอะไรไม่ได้เพราะขึ้นอยู่กับความสงสัยและความแตกต่าง …ซึ่งหมายถึงทุกคนที่ผมรู้จัก ชีวิตของริกแกนน่าสงสารและได้รับผลกระทบจากคนรอบตัว ตลอดชีวิตขงเขาริกแกนเขาหลงใหลอยู่กับคำยกย่องชื่นชม และเมื่อถึงช่วงที่เขารู้สึกถึงความขัดแย้งของเหตุผลที่สองที่เขาเริ่เรียนรู้วิธีรักตัวเองและผู้อื่นด้วยความขมขื่น”คีตันเล่าถึงตัวละครของเขาว่า “ผมมองริกแกนว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ถึงเขาจะเป็นนักแสดงแต่นั่นคืองานที่ต้องอาศัยบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว มันกลายเป็นเรื่องของการสนใจตัวเองและอีโก้ ซึ่งในกรณีนี้เขาเป็นคนที่มีคุณสมบัติมากมายหากจะเอ่ยถึง”สำหรับอีโก้แห่งความทรมานของริกแกน เส้นกั้นระหว่างความจริงกับภาพมายาเป็นเพียงเส้นบางๆ และมักจะไม่มีตัวตนจริง เขามีเงาของเบิร์ดแมนเป็นเหมือนเพื่อนร่วมทางที่ยากจะเลือนลางไป เขาอยู่ที่นั่นเสมอไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม “เขาต้องเผชิญหน้ากับเหตุผล มันเลยเป็นเส้นทางที่มีแต่ “ตัวเอง” เป็นเส้นทางของอีโก้ และเมื่อเขาต้องฝ่าฟันกับการเป็นคนธรรมดา อีโก้ของเขาจึงเป็นเหมือนเพื่อนที่วางใจได้และสิ่งที่สร้างความทรมาน มันคอยตอกย้ำริกแกนที่อยากจะทิ้งมันไว้และเผชิญหน้ากับข้อบกพร้องหลายอย่างในตัวเขาและความเป็นไปได้ที่สับสน มันมีทั้งเรื่องเศร้า เรื่องตลก เรื่องที่ตรงกับความจริงสุดๆ และเรื่องที่เหมือนกับความฝันอยู่ในเรื่อง” อินนาร์ริตูอธิบายว่า “เบิร์ดแมนคือซูเปอร์อีโก้ของริกแกน จากมุมมองของเบิร์ดแมนทำให้ริกแกนเสียสมาธิในการเล่นเรื่องนี้ ซึ่งอยู่เบื้องลึกของพวกเขา จากมุมมองของริกแกนเบิร์ดแมนทำให้เขาเสียสมาธิ จากมุมมองของช่วงเวลาทั้งคู่ต่างไม่สัมพันธ์สอดคล้องกัน”ภาพยนตร์เรื่อง BIRDMAN เหมือนกับภาพยนตร์ของอินาร์ริตูทุกเรื่องที่เล่นกับการใช้ชีวิตของมนุษย์โดยมองผ่านตัวละครต่างๆ ที่ริกแกนยึดติด แต่มันเป็นการผสมผสานระหว่างความตลกกับความน่าสงสาร ภาพหลอนและเรื่องจริง ทำให้ตีความหมายได้หลายอย่าง“ผมพูดเสมอว่าหลังจากเราอายุ 40 ปี ไม่มีอะไรที่ทำให้เรากลัวอีกแล้วว่าจะไม่คุ้มที่ทำมัน ซึ่งเรื่องนี้มันทำให้ผมกลัวในทางที่ดี มันเป็นประสบการณ์ใหม่ที่ผมได้ออกมาจากความคุ้นเคยของผม” อินาร์ริตูกล่าว “นี่คือตัวละครที่เป็นรากฐานของเรื่องรวและตัวละครที่มีความดราม่าอย่างเข้มข้นผสมกับความตลก ถือเป็นหนังแนวใหม่ของอเลฮังโดรเลย” จอห์น เลสเชอร์ ผู้อำนวยการสร้างฯ กล่าว “เขาถนัดเรื่องข้อจำกัดของมนุษย์มาก”“มันเป็นเรื่องของโปรเจ็กต์ ภาพยนตร์ เนื้อเรื่อง ผู้คน ความจริงใจ และมีการสื่อถึงบางสิ่งเสมอ มันมีเรื่องราวดีๆ จากมุมมองนั้นเสมอ” คีตันกล่าว ขณะที่ภาพยนตร์ถ่ายทดบทพิสูจน์และความยากลำบากของนักแสดง อินาร์ริตูมองการสร้าความพึงพอใจของพวกเขาเหมือนความปรารถนาที่ทุกคนต้องการ “นิยามของความสำเร็จในสมัยใหม่ คือทุกคนอยากมีชื่อเสียงทันใจ ไม่ใช่ได้มาจากผลงานที่พัฒนานานหลายปี ในหนึ่งวินาทีเราจะมีผู้คนชอบกดไลค์ 800,000 คนหรือผู้ติดตามสำหรับความสำเร็จที่อาจเป็นเพียงภาพลวงตา ความรวดเร็วของโซเชียลมีเดียอาจบิดเบือนความจริงของคนๆ หนึ่งได้อย่าง่ายดาย โดยเฉพาะริกแกนที่ต้องเติมเต็มความคาดหวังของการเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ซึ่งทุกอย่างเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขาที่มีความยาก นี่คือเรื่องราวของผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามพิสูจน์ว่าเขามีอะไรมากกว่านั้น มากกว่าผู้ชายที่เคยเป็นที่ชื่นชอบ แต่ในโลกทุกวันนี้เรื่องเสียดสีคือจ้าวแห่งทุกสิ่ง ใครก็ตามจริงใจที่สุดหรือซื่อสัตย์ที่สุดต้องพบกับความทรมาน มันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ เป็นโลกที่ราวกับความฝัน” อินาร์ริตูเล่าว่า “ในที่สุดผมเพิ่งพยายามเล่าเรื่องของธรรมชาติมนุษย์เกี่ยวกับการเป็นที่ยอมรับออกมาแบบสนุกสนาน หากไม่มีบกพร่องหรือความผิดพลาดในสิ่งต่างๆ และธรรมชาติของพวกเราด้วยวิธีการประพฤติและมีนิสัยแบบนั้น”ผลงานที่ริกแกนทำการแสดงที่ St. James Theater อันเลื่องชื่อในอดีตสร้างขึ้นจากเรื่องสั้นของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ เรื่อง What We Talk About When We Talk About Love และแน่นอนว่าเป็นเรื่องราวของความรักและการยอมรับที่ถ่ายทอดออกมาทั้งเรื่อง BIRDMAN“ตั้งแต่ตอนวัยรุ่นผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์ ซึ่งเรื่องนี้มีความคลาสสิคมากครับ ผมเลือกเรื่องนี้ขึ้นมาสำหรับเบิร์ดแมนเพราะจริงๆ แล้วมันเป็นความคิดที่แย่มาก ผมหมายถึงผมพยายามคิดถึงตัวละครและมนุษย์อย่างริกแกนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับโรงละคร โดยเพิ่มการแสดงที่อิงจากเรื่องสั้นของเรย์มอนด์ คาร์เวอร์เข้าไปยิ่งเป็นความท้าทายและค่อนข้างจะไร้สาระ ผมอยากได้ละครที่เกิดขึ้นและมีความบังเอิญในเนื้อหาเรื่องสั้น และริกแกนเองก็ตามหาความรักและพยายามหาคำตอบว่าความรักมาจากที่ไหน ผมอยากเล่นกับไอเดียที่เขาพยายามนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ของละครจากชีวิตที่นิวยอร์คของเขา จนเขาค่อยๆ กลายเป็นตัวละครที่เขาแสดง ชายผู้หมดหวังถึงขั้นเข้าไปในโรงแรมและถามหาความรัก ผมโชคดีมากที่เทส แกลลาเกอร์ หม้ายของเขาใจกว้างพอที่จะไว้วางใจให้ผมมีสิทธิ์ในเรื่องนี้ ผมปลื้มใจมากครับ” อินาร์ริตูอธิบายคัดเลือกตัวนักแสดง

สิ่งสำคัญที่ของเรื่อง BIRDMAN คือ ไมเคิล คีตัน ที่มารับบท ริกแกน ธอมป์สัน คีตันเคยรับบทบาทที่หลากหลายในหนังทุกแนวมาแล้ว เขามีชื่อเสียงจากการแสดงในภาพยนตร์ของทิม เบอร์ตัน เรื่อง BATMAN สองตอน ภาพยนตร์ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากซูเปอร์ฮีโร่ในหนังสือการ์ตูน ริกแกนไม่ได้แสดงแฟรนไชส์ภาพยนตร์เรื่องเบิร์ดแมนต่อ หลายคนก็คิดถึงบทบาทเรื่อง Dark Knight ในภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขา

“ไมเคิลเป็นนักแสดงที่มีความสามารถและน่าชื่นชมมากครับ เขาตีบทแตกได้ทั้งดราม่าและคอมเมดี้อย่างที่ผมไม่เคยเห็นหรือร่วมงานกับใครแบบนี้มาก่อน ขณะเดียวกันเขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สวมบทบาทได้อย่างแท้จริง อันที่จริงผมคิดว่าเขาเป็นนักแสดงซูเปอร์ฮีโร่คนแรกๆ ของโลก และเขาก็กลับมาแสดงบทสำคัญสุดบทหนึ่งอย่างแบทแมนด้วย เขาเป็นเหมือนบรรพบุรุษของผู้มีอำนาจในโลกของแฟรนไชส์จากหนังสือการ์ตูนที่เราวนเวียนอยู่ เขาจึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ตอนที่เขาตอบรับผมรู้เลยว่าหนังต้องออกมาอย่างที่ผมต้องการแน่ ไม่ใช่เพราะเขาสะท้อนบทบาทและโปรเจ็กต์จับต้องได้ชัดเจนเท่านั้น แต่เพราะพื้นฐานความรู้และพรสวรรค์ที่น่าทึ่งในตัวเขาด้วย” อินาร์ริตูกล่าว

เขายังเล่าอีกด้วยว่าความรับผิดชอบของคีตันในการแสดงจุดอ่อนและความสำเร็จโดยไม่ไตร่ตรองของริกแกนถือเป็นจุดสำคัญของบทบาทด้วย

“ไมเคิลสวมบทบาทได้สมจริงและดูจริงใจมาก เพราะลักษณะการถ่ายทำของผม มันไม่ใช่ตรงแค่จังหวะการเดินของเขา แต่ความสามารถในการถ่ายทอดมุมมองต่างๆ โดยที่ไม่ดูประชดประชันด้วย เขาอินกับมันมากครับ ผมไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง แต่มันงดงามมากครับที่ได้เห็นแบบนั้น” อินาร์ริตูกล่าว

สำหรับการขยายความบทบาทเหล่านั้นต้องอาศัยการถ่ายทอดหลากหลายอารมณ์ออกมา ทั้งความกระตือรือร้น ความสงสัย ความเดียวดาย ความทะเยอทะยาน ความคลั่งไคล้ ความเมตตา ความหวัง และความกลัวในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งยังไม่รวมถึงภาพลวงตาที่เขาสร้างขึ้นมาจากจินตนาการถึงตัวละครเบิร์ดแมน

คีตันได้ทำการเทคแทนอินาร์ริตูแทนช่วงจังหวะของตัวละคร เขาเล่าว่า “ผมคิดว่าหัวใจของตัวละครอยู่ที่ความขัดแย้งในตัวเขา ช่วงหนึ่งเขาจะรู้สึกผยองลำพองตนและสองวินาทีต่อมาเขากลับมีความมั่นใจลดลงไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทั้งหมดนั้นจะเกิดขึ้นในฉากเดียว ผมไม่เคยเล่นหนังหรือรับบทที่ใน 1-2 นาทีพลิกจากความตลกมาเป็นเศร้าแล้วก็กลับไปตลกอีก มันเพี้ยนมากที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ความแตกต่างคือสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากของตัวละครครับ”

“ในส่วนของความสอดคล้องกัน ผมไม่ได้อินไปน้อยกว่าตัวละครของริกแกนเลย ผมเข้าใจเขาในหลายระดับมาก เพราะเขาเป็นคนที่มีความจริงใจและโศกเศร้ามาก” คีตันกล่าว

“ผมคิดว่าการคัดตัวนักแสดงเป็นการตัดสินใจที่สำคัญของผู้กำกับฯ ผมพยายามคัดนักแสดงที่ไม่แสดงเหมือนล้อเลียนตัวละครเหล่านี้ แต่ต้องเข้าใจความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและทำให้พวกเขามีความซับซ้อนตามสภาพต่างๆ อย่างไร้เหตุผลได้ ผมรู้ว่านักแสดงของเราล้วนเป็นนักแสดงฝีมือชั้นยอด และผมก็รู้ด้วยว่าพวกเขาสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ สามารถอยู่ในช่วงเวลานั้นและรับผิดชอบด้านการถ่ายทอดเรื่องราวของหนังออกมาได้” อินาร์ริตูกล่าว

นาโอมิ วัตส์ รับบท เลสลีย์ นักแสดงหญิงที่รับบทครั้งแรกในละครของริกแกน เธอเข้ากับอินาร์ริตูง่ายมากเพราะเคยร่วมงานกันในเรื่อง 21 GRAMS เธอเล่าว่าเป็นเพราะความใส่ใจเรื่องการเข้าถึงเนื้อเรื่องของเขา“… มันเป็นสิ่งยากสุดที่ฉันเคยทำมาเลยเพราะมันเป็นฉากที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีนักแสดงหลายคนในห้องนั้น และมีบทพูดถึง 15 หน้า เราจะพลาดไม่ได้เลย มีการถ่ายทำมุมต่างๆ เพื่อความครอบคลุมและเราต้องพูดซ้ำประโยคเดิมถ้าเราไม่ชอบอย่างที่เคยพูดออกไป เรามีอิสระในการรักษาหรือพัฒนาตัวเอง ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้แต่เพราะลักษณะการถ่ายทำของเขา มันเป็นช่วงเวลาของทุกคนตลอด และไม่ใช่แค่นักแสดงด้วย มีอีกหลายคนที่อยู่ริมหน้าผาร่วมกับเรา ทั้งทีมฉาก สตั๊นท์ และโดยเฉพาะทีมตากล้อง มันเหมือนกับการแข่งขันกันด้านการถ่ายทอดและเราไม่อยากให้ใครพลาดไป เพราะพวกเขาสามารถสร้างสุดยอดผลงานออกมาได้ เราจะให้ความสนใจทีมงานทุกคนตลอดเวลาค่ะ” วัตส์กล่าว

แต่อย่างไรก็ตามวัตส์ก็ได้พบกับประสบการณ์ที่ทำให้เธอมีความสุข “มันเหมือนกับมาสเตอร์คลาสเลยค่ะ แม้ว่าจะทรมานมากก็ตามแต่ก็เป็นความท้าทายที่สุดวิเศษ ฉันตื่นเต้นที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ อเลฮังโดรสาหัสกว่านี้เยอะค่ะ มีหลายครั้งตอนที่เราเกือบจะปิดกล้องในอีกไม่กี่ชั่วโมงและเขายังไม่ได้ภาพ จากนั้นเราก็มาอยู่ในโซนที่เราต้องเล่นพร้อมกัน มันต้องทำให้เสร็จในวันนั้นเพราะเขาจะมาตัดต่อหรือลำดับภาพทีหลังไม่ได้ ซึ่งช่วงท้ายของเทคนั้นถ้าเขาชอบในภาพที่ออกมาก็จะมีการส่งเสียงเชียร์กันดังมาก เราทุกคนอยากทำให้เขามีความสุข มันเหมือนกับชัยชนะจากการแข่งขันโอลิมปิคเลยค่ะ” วัตส์กล่าว

สำหรับตัวละครเลสลีย์ของเธอที่มีโอกาสได้แสดงในละครบรอดเวย์ ถือว่าเหมือนกับมีโอกาสได้แข่งโอลิมปิคและมันสะท้อนถึงการแสดงทั้งหมดของเธอ ความถนัดเรื่องการล้อเลียน ได้นำไปสู่การคัดเลือกตัว ไมค์ ไชเนอร์ ศิลปินแบดบอยที่รับบทโดยเอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน“การแสดงละครบรอดเวย์เป็นความฝันของเธอตั้งแต่เด็กที่กลายเป็นจริงแล้วตอนนี้ เธอให้ความทุ่มเทกับมันมาก เธอไม่อยากให้อะไรมารบกวน สิ่งที่ฉันชอบมากคือนักแสดงอาจเป็นคนที่มีความซับซ้อนมาก เขาเป็นคนที่เหมาะแก่การกลั่นแกล้งตามช่วงจังหวะ โดยเฉพาะเลสีย์ที่ต้องการแจ้งเกิดในโลกบรอดเวย์อย่างไม่คิดชีวิต ฉะนั้นเวลาที่พวกเขาขาดนักแสดงคนหนึ่งที่เหมาะสมไปก่อนรอบพรีวิว เธอจึงเกิดความกังวลว่าทุกอย่างจะพัง มันเสี่ยงสำหรรับเธอ เธอจึงเสนอชื่อแฟนหนุ่มของเธอที่เธอรู้ว่าจะสร้างปัญหาให้ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะทำแบบนั้น” วัตส์กล่าวนอร์ตันเข้าใจบทบาทของเขาบนละครเวทีพอๆ กับในภาพยนตร์ เขารู้สึกประทับใจที่ BIRDMAN ถ่ายทอดโลกของโรงละครนิวยอร์คออกมาได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน “ตอนที่ผมอ่านบทภาพยนตร์ ผมแปลกใจที่อเลฮังโดรและทีมผู้เขียนบทของเขาเข้าถึงความตลกและความขมขื่นได้ ไม่ใช่แค่ชีวิตของนักแสดงแต่โดยเฉพาะประสบการณ์พิเศษและการเปลลี่ยนแปลงของนักแสดงละครเวทีนิวยอร์คด้วยครับ ผมได้ร่วมงานในโลกของละครเวทีนิวยอร์คในการทำงานช่วงแรกและยังคงมีส่วนร่วมในโลกใบนั้นอยู่ ผมรู้สึกประทับใจที่บทภาพยนตร์สะท้อนมันออกมาได้” นอร์ตันกล่าว

นอร์ตันยอมรับว่าโลกใบนี้มอบโอกาสให้ได้เข้าไปสำรวจและเจาะลึกถึงเรื่องลับเฉพาะของนักแสดงละครเวที ซึ่งไมค์ ไชเนอร์คือตัวอย่างของการสร้างความบันเทิง “ผมคิดว่าเวลาเราสำรวจลึกถึงชีวิตของนักแสดง เราต้องใส่ความงดงามและความหลงใหลที่แท้จริงลงไปในการเล่าเรื่องด้วย เราต้องมีความหลงตัวเอง สร้างอีโก้ เห็นแก่ตัว สิ่งที่ทำให้ผมสนใจในตัวไชเนอร์คือเขาเป็นพวกชอบสร้างปัญหาที่มีอีโก้สูงมาก เป็นคนหยิ่ง โลภ และค่อนข้างลึกลับ แต่เขาก็มีพรสวรรค์สูงมากด้วยเช่นกัน เขารู้ว่าตัวเองกำลังพูดถึงเรื่องอะไร เขามีความพิถีพิถัน ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนัก และเขาเป็นคนที่มีความอ่อนไหวมาก เขาคาดคะแนคุณค่าของคนได้โดยผ่านการปกป้องตัวเอง ผมรู้สึกว่ามิตรภาพระหว่างริกแกนกับเขาคล้ายกับความรู้สึกที่ผู้ชมอาจสัมผัสได้” นอร์ตันกล่าว

นอร์ตันเล่าว่าขณะที่ BIRDMAN มีความพิเศษต่อนักแสดง นี่ก็เป็นโปรเจ็กต์เรื่องพื้นฐานที่เรียกความสนใจจากเขาได้ด้วย “อเลฮังโดรบอกกับผมในช่วงแรกว่าเขาไม่อยากให้หนังเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องราวเกี่ยวกับนักแสดงหรือเหล่าศิลปิน เขาอยากให้เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าถึงได้ ผมคิดว่าเขาสนใจในไอเดียของช่วงเวลาเหล่านั้นในชีวิตเมื่อเรารู้สึกว่าห่างไกลจากเรื่องชื่อเสียง เราพาตัวเองมาอยู่ในชีวิตช่วงแรก อเลฮังโดรมีมุมมองที่เน้นเรื่องความรู้สึก มันอาจเป็นช่วงเวลาที่น่าสะพรึงกลัวมากก็ได้เมื่อเรามาถึงช่วงอายุที่เริ่มคิดถึงเรื่องความตาย และเราต้องเผชิญหน้ากับการมีบทบาทน้อยลงกว่าที่เราเคยนึกภาพไว้ ผมคิดว่าเรื่องราวมีจุดสำคัญตรงที่ริกแกนดึงความรู้สึกของตัวเองที่เขามีความภูมิใจกลับมาด้วยการเป็นนักแสดง สิ่งที่เขาทำสำหรับผมถือเป็นเรื่องที่สะเทือนอารมณ์และปนตลกอยู่บ่อยครั้งจากเส้นทางที่เขายอมทำเพื่อคว้ามันมาให้ได้” นอร์ตันอธิบาย

ความสัมพันธ์ระหว่างริกแกนและคณะนักแสดงของพวกเขา นอร์ตันเล่าว่าถือเป็นเรื่องที่เป็นแบบอย่างด้วย “ตัวละครของผมอายุน้อยกว่าที่เข้ามาคุกคามริกแกน ทำให้เขารู้สึกหวาดผวา เป็นความตึงเครียดต่างวัยระหว่างหนุ่มตุรกีกับผู้ที่ต่อสู้เพื่อรักษาความสัมพันธ์และความกล้าของเขาไว้ มีเรื่องราวความระหว่างเด็กๆ กับอดีตภรรยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ครับ” นอร์ตันกล่าว ผู้ที่พยายามประคองทุกอย่างเอาไว้คือผู้อำนวยการสร้างฯ และเพื่อนสนิทของริกแกนที่ชื่อ เจค รับบทโดย แซ็ค แกลิเฟียนาคิส เขาได้วางรายละเอียดของงานไว้ในทุกระดับจากตัวละครทั้งหมดเจคน่าจะเป็นตัวละครที่มีเหตุผลสุด ซึ่งถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงด้วยความเต็มใจของแกลิเฟียนาคิสที่ขึ้นชื่อในการเล่นอะไรรแผลงๆ

“ผมเป็นแฟนพันธุ์แท้ของอเลฮังโดรคนหนึ่งครับ ผมชื่นชอบเขาก่อนจะมาได้รู้จักเขา ตอนที่เราไปจิบกาแฟด้วยกันเขาบอกผมว่าอยากให้ผมรับบทที่มีความสมจริงมากขึ้นและเลี่ยงการล้อเลียน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่เรียกความสดชื่นให้ผมในการได้ลองเลยครับ” แกลิเฟียนาคิสกล่าว

เขาเล่าถึงตัวละครของเขาเพิ่มเติมอีกว่า “ริกแกนกับเจคเคยทำงานร่วมกันพักหนึ่ ผมคิดว่าพวกเขามีช่วงเวลาที่ดีในอดีตร่วมกันมาช่วงที่ริกแกนมีชื่อเสียงโด่งดัง ตอนนี้พวกเขากำลังพยายามคิดหนังเรื่องต่อไปพวกเขา ซึ่งต้องไปแสดงบรอดเวย์เพื่อเสริมประสบการณ์ของพวกเขาสักหน่อย เจคเป็นตัวละครที่ค่อนข้างเป็นแบบอย่างสำหรับผมเจคเป็นคนอารมณ์ร้อนเล็กน้อย ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้บางเวลา ซึ่งเป็นบทที่เล่นแล้วสนุกดีครับ” แกลิเฟียนาคิสกล่าว

เอ็มม่า สโตน รับบท แซม ลูกสาวของริกแกน คลื่นลูกใหม่และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของพ่อเธอ ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ค่อยราบรื่น ชื่อเสียงจากการเป็นเบิร์ดแมนซูเปอร์ฮีโร่ของเขาทำให้ต้องห่างกับเธอในช่วงที่เป็นเด็ก การจ้างเธอเข้ามาเป็นผู้ช่วยไม่ได้กู้สถานการณ์ระหว่างพวกเขาสักเท่าไหร่ แซมเป็นคนตาถึงและคอยสังเกตพ่อของเธอ รวมถึงประวัติศาสตร์ของสิ่งที่เขาเล่นกับเหตุการณ์ที่ไม่ปรารถนา เธอจึงสร้างกำแพงปกป้องตัวเองขึ้นมา

เธอเล่าว่า “เพราะเธอเพิ่งออกจากการบำบัด ฉันคิดว่าเธออยากให้สมาชิกในครอบครัวจับตาดูเอาไว้ เธอสร้างความผิดพลาดครั้งใหญ่ด้วยการทำงานร่วมกับเขา ในช่วงแรกเขาเข้ากับเธอไม่ได้และให้เธอทำงานระดับล่าง มันเริ่มต้นไม่ค่อยสวยแต่ในท้ายที่สุดเธอก็เริ่มมองเห็นว่าพวกเขามีความคล้ายกันมาก แซมเป็นตัวละครหนึ่งในไม่กี่ตัวในหนังที่ไม่ใช่นักแสดง ไม่มีส่วนร่วมในการแสดง ถือว่าเป็นบทที่ดีต่อการรับเนค่ะ เธอเป็นคนนอกที่รู้เห็นทุสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องรับมือกับพายุบนเวทีร่วมกับคนเพี้ยนๆ ทั้งหลาย” สโตนกล่าว.และระหว่างที่ละครเรื่องนี้กลายเป็นสิ่งเดียวที่ริกแกนให้ความสนใจและการเสาะแสวงหาความสมดุลด้านศิลปะของเขา ลูกสาวของเขามีคำนิยามต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่างไปอย่างสิ้นเชิง

“เราพบว่าริกแกนอยู่ในจุดที่ถอยหลังกลับไม่ได้ ท่ามกลางแผนการในการหวนคืนสู่วงการที่ผลักดันจากความต้องการเป็นที่ยอมรับ แซม ตัวละครของฉันสอนอะไรเขาหลายอย่างเรื่องโซเชียลมีเดียและความมีชื่อเสียงแบบใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ การเข้าถึงของนักแสดงตอนนี้แตกต่างจากตอนที่ริกแกนมีชื่อเสียงในฐานะเบิร์ดแมนเมื่อ 20 หรือ 30 ปีก่อนหน้านี้มาก เขาอยากมีตัวตนแต่ก็อยากเป็นที่ชื่นชอบและได้รับความเคารพในฐานะศิลปินคนหนึ่ง แต่จะมีการประเมิณสถานการณ์แบบวันต่อวัน มีความปรารถนาให้คนส่วนใหญ่ยอมรับ ซึ่งฉันคิดว่าทุกคนจะเข้าใจเรื่องนั้นได้ดีค่ะ” สโตนกล่าว

โชคดีที่เธอได้รับคำแนะนำเชิงสนับสนุนจากอินาร์ริตู “ฉันเรียนรู้อะไรหลายอย่างค่ะ มันตื่นเต้นมากที่ได้สวมบทบาทและใช้ชีวิตตัวละครนั้นในฉากที่ยาวมาก อเลฮังโดรเข้ากับนักแสดงได้ดีมากค่ะ เขารู้ว่าเราจะคิดอย่างไรกับบทแต่ละประโยค บางครั้งคิดได้ดีกว่าเราด้วย มีวันหนึ่งที่ฉันรู้ตัวว่ามันไม่ได้เรื่องสำหรับฉันเอาซะเลย ฉันรู้สึกได้ถึงการต่อต้านและพอทำแบบนั้นออกไป เขาปรบมือและพูดว่า ‘แบบนั้นแหละ!’ มันวิเศษมากค่ะ ฉันไม่เคยเจอผู้กำกับคนไหนที่ทำแบบนั้นเลย เขาสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เราแสดงออกไป” สโตนกล่าว เอมี่ ไรอัน รับบท ซิลเวีย แม่ของแซมและเป็นภรรยาเก่าของริกแกนที่จะแวะมาที่โรงละครเพื่อเช็คความประพฤติของพวกเขา “ซิลเวียเป็นคนมีเหตุผลและปลูกฝังความคิดให้พวกเขา ฉันคิดงั้นนะคะ เธอจะคอยให้เหตุผลและแสดงให้เห็นถึงรักแท้ เพราะทุกคนสับสนในรักแท้เพื่อเอาเป็นตัววัดคุณค่าของตัวเอง” ไรอันกล่าว

ซิลเวียต่างจากใครหลายคนที่มีตัวตนหรือเคยผ่านมาในชีวิตของริกแกน เธอไม่ใช่ผู้มีความสามารถอะไร ไรอันอธิบายเพิ่มว่าเธอเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ และริกแกนก็ไม่ทำให้หน้าที่นั้นง่ายดายเลย “ฉันว่าสิ่งที่น่ากลัวสุดในการเป็นเชียร์ลีดเดอร์ให้ใครสักคน คือเวลาที่พวกเขาไม่อยากได้ยินเรา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างริกแกนกับซิลเวีย เขาเอาแต่จะทำตามใจตัวเองจนมองไม่เห็นความจริงหรือสิ่งที่งดงามอย่างที่เธอเห็น หลังจากที่พวกเขาหย่ากันเธอพยายามให้กำลังใจเขาแต่กลับไร้ค่า” ไรอันกล่าวไรอันเหมือนกับนักแสดงคนอื่นๆ ที่ต้องอาศัยความงดงามของภาพเป็นพิเศษ เธอต้องมีบุคลิกเฉพาะตัวและต้องขอบคุณที่ได้รับการสนับสนุนจากทีม “การฝึกซ้อมหลายครั้งช่วยได้ค่ะ มันวิเศษมากที่มีทุกคนอยู่รอบกาย ซึ่งมันหาได้ยากในภาพยนตร์นะคะที่เราจะได้อยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา พวกเราอยู่ด้วยกันครบทุกคนเลย” เธอกล่าว

ลอว์ร่า นักแสดงคนหนึ่งในละครของริกแกน แอนเดรีย ไรส์โบโรห์ต้องมารับบทคนรักของเขา ความไม่ชัดเจนในตัวเขาส่งผลต่อทุกการกระทำของลอว์ร่า ซึ่งต่างจากริกแกนที่เธอรู้สึกว่ามีความชัดเจนจับต้องได้จริง เป็นความรักแบบผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เคารพยกย่อง ไรส์โบโรห์เข้าใจลอว์ร่าทันทีในช่วงที่ซักซ้อมในฉากของอินาร์ริตูอย่างละเอียด ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ดำเนินอย่างต่อเนื่องตลอดการถ่ายทำ เช่นเดียวกับเทคนิคของ

ตากล้องในการทำงานที่อินาร์ริตูให้ความพิถีพิถันพอๆ กับตัวละครและเนื้อเรื่อง“อเลฮังโดรจะมีการวัดคามร้อนในแต่ละช่วงเวลา เขาทำให้ทุกส่วนมีความสมจริง ซึ่งสิ่งหนึ่งที่น่าหลงใหลมากในการร่วมงานกับเขาคือในช่วงฝึกซ้อมก่อนที่เราจะเริ่มถ่ายทำกัน เขาสร้างความแน่ใจว่าฉันรู้สึกได้จริงว่าคนๆ นี้เป็นคนแบบไหน ฉันรู้สึกว่าฉันรู้จักลอว์ร่ามาตั้งแต่เกิด และในช่วงที่ถ่ายทำทุกวันฉันจะรู้อะไรเกี่ยวกับเธอมากขึ้นจากเขา เขาตีแผ่ตัวละครให้เราโดยการเล่าทีละเล็กทีละน้อย จนทำให้เราเข้าถึงตัวละครด้ยค่ะ สำหรับฉันถือว่าเป็นประสบการณ์ที่วิเศษและไม่เหมือนครั้งไหนเลย” ไรส์โบโรห์กล่าวการปลุกชีพให้เบิร์ดแมน: ขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์

เรื่องราวที่มีความเหมาะสมทั้งความมุ่งมั่นและมีความแปลกใหม่อย่างเรื่อง BIRDMAN ขั้นตอนการเขียนบทมีความพิเศษและต้องอาศัยการร่วมมือกันจากเพื่อนนักประพันธ์ผู้มีพรสวรรค์ทั้ง 4 คน ได้แก่ อินาร์ริตู นิโคลาส จิอาโคโบน อเล็กซานเดอร์ ไดน์ลาริส จูเนียร์ และ อาร์มอนโด โบ. ซึ่งอินาร์ริตู จิอาโคโบนและโบเคยเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกันในผลงานของอินาร์ริตู เรื่อง “Biutiful” ไดน์ลาริสเป็นผู้เขียนบทที่มีชื่อเสียง ส่วนโบเคยกำกับฯ เรื่อง “The Last Elvis” ที่เขาเขียนบทร่วมกับจิอาโคโบน ทั้งสี่คนร่วมกันถ่ายทอดความสามารถและประสบการณ์ที่ผ่านมาเพื่อสร้างเรื่องราวใน BIRDMAN ตลอดช่วงเวลาที่ยาวนาน ต่างสถานที่ หรือต่างประเทศกันไปด้วยซ้ำ

“มีหลายครั้งที่พวกเราอยู่ต่างที่กัน ทั้งนิวยอร์ค แม็กซิโกหรือลอสแองเจลิส เราทำงานร่วมกันผ่านสไกป์นาน 2 ปี มันเป็นการร่วมงานที่ยอดเยี่ยมและสนุกสนาน ถือเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งของการเขียนบทที่วิเศษสุดมากเลยครับ เราเข้าใจตรงกันเสมอแต่อุปสรรคของเราอยู่ที่การหาจังหวะภายในเรื่องโดยที่ไม่ทำลายการถ่ายทอดเรื่องราว” อินาร์ริตูกล่าว

นักเขียนแต่ละคนได้ใส่จุดเด่นที่แตกต่างกันไปในการทำงาน และได้ถ่ายทอดสิ่งที่จิอาโคโบนเรียกว่า “เบิร์ดแมนที่แปลกและน่ามหัศจรรย์” ลงไปในบทด้วย “บทภาพยนตร์มักมีเส้นทางที่แปลกประหลาดและการร่วมงานกันระหว่างทั้งสี่คนยิ่งเพิ่มความยุ่งยาก แต่พวกเรากลายเป็นทีมเดียวกันได้จนกลายเป็นการทำงานที่สนุกสนานมากครับ” จิอาโคโบนกล่าว “มันเริ่มจากที่อเลฮังโดรมีไอเดียว่าจะสร้างคอมเมดี้ขึ้นมาในฉากเดียว นั่นคือข้อมูลแรกที่เขาให้เรามา ซึ่งมันมีความแปลกและน่าสนใจมากครับ มันมีความน่าหลงใหลโดยเฉพาะในช่วงแรก เพราะทุกอย่างมีความแปลกใหม่และคาดเดาแทบไม่ได้เลย ไอเดียของการถ่ายฉากเดียวถือเป็นความท้าทายเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกอย่างในบทจะมาปรากฏบนภาพยนตร์ และเราคิดถึงเรื่องนั้นเสมอในตอนที่เขียนบท ความถูกต้องคือสิ่งสำคัญในการถ่ายทอดทุกสิ่ง และจังหวะวิธีในกาารส่งบทของพวกเขารวมถึงช่วงเวลาที่เรียกความสนุกสนานด้วย” จิอาโคโบนกล่าว

ประสบการณ์ของไดน์ลาริสคือสิ่งสำคัญมาก เพราะส่วนใหญ่ในภาพยนตร์จะเป็นฉากเบื้องหลังที่ St. James Theater ที่ริกแกนปักหลักอย่างชัดเจนเพื่อกอบกู้อาชีพการงานเขาอีกครั้ง อเล็กซ์ ไดน์ลาริสจึงเข้ามามีส่วนร่วมด้วย“การมีอเล็กซ์อยู่ถือเป็นเรื่องที่ขาดไม่ได้เลย เขาไม่ใช่แค่ผู้เขียนบทแต่เป็นนักเขียนที่มีความมหัศจรรย์ สิ่งที่ผมรู้สึกดีเป็นพิเศษคือการที่เราเข้ากันได้เป็นการส่วนตัว เราทุกคนสนุกที่ได้เขียนเรื่องนี้มากครับ” จิอาโคโบนกล่าว

ไดน์ลาริสเล่าว่า “การถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกจัดให้มีการตอบโต้กันอย่างถึงพริกถึงขิง และอเลฮังโดรคิดว่าผมจะสนุกไปกับมันซึ่งก็เป็นความจริง ประสบการณ์ครั้งใหญ่ของการถ่ายทำอย่างต่อเนื่องให้ความรู้สึกเหมือนเรากำลังสร้างผลงานละครเวทีขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่เราคุยกันในช่วงแรกและเป็นไอเดียที่ดีมากครับ เรามีการถกเถียงกันระหว่างนักแสดงละครเวทีกับนักแสดงภาพยนตร์ตลอด นักแสดงภาพยนตร์จะพูดถึงทีมละครเวทีว่าทุกสิ่งที่พวกเขาทำมันยิ่งใหญ่อลังการมากไป ส่วนนักแสดงละครเวทีจะพูดว่าคุณไม่ต้องทำอะไรเลย คุณแค่พยายามทำมัน 7 8 9 หรือ 12 รอบเหมือนเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน สำหรับเรื่องนี้มันเหมือนกับผลงานที่อยู่ในภาพยนตร์และอยู่ในละครอีกที เพราะเราไม่มีการตัดต่อเลย เราต้องหมั่นสร้างความแน่ใจในฉากต่างๆ ทั้งในช่วงแรก ช่วงกลาง และช่วงท้ายว่ายังมีการเชื่อมโยงถึงกันหมดมั้ย มันก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งครับ เป็นการทำงานที่ตื่นเต้นสุดๆ เลย”

ไดน์ลาริสเล่าต่อว่า “สำหรับเรื่องนี้เราเขียนบททั้งละครเวทีและภาพยนตร์ หากคุณตัดใจไม่ได้ก็จะหมกมุ่นอยู่กับการเขียนบท หนึ่งในหลักการของการเขียนบทคือกระโจนใส่งานให้ช้าแต่ส่งผลงานออกมาให้ไว (วิลเลียม โกลด์แมน) แต่เราทำแบบนั้นกับหนังเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะมุมกล้องจะผลักดันเราสู่ห้องถัดไป เราเลยต้องชลอเพื่อให้รู้สึกว่าเราไปถึงที่นั่นช้าลง นั่นเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มากครับ เราบรรจงบทให้ตรงตามจังหวะได้ มันทั้งยุ่งยากและมีความสุขอย่างเหลือเชื่อครับ เพราะเราต้องหาคำตอบให้เรื่องต่างๆ เราวางแผนทุกอย่างทีละเล็กละน้อยตั้งแต่ลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้องและนักแสดงจะบล็อคจังหวะของการโต้ตอบ ในหนังทั้งเรื่องต้องมีการวางแผน มันเลยเหมือนคนกลุ่มหนึ่งต้องทำอะไรซ้ำๆ ตลอดเวลาและมีการหยอกล้อกันที่คุมโดยริกแกน ธอมป์สัน ผู้ที่กำลังควบคุมตั้งแต่จุดเริ่มต้น เราจะเห็นเขาอยู่ในท่าที่คิดอะไรอยู่และต่อมาเราก็รู้ว่าเขาพยายามสงบสติอารมณ์จนเฟรมสุดท้ายของหนังก็เป็นอย่างที่อริสโตเติลพูดว่า ‘จุดจบที่เลี่ยงไม่ได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์’” จิอาโคโบนกล่าวเสริมว่า “…มันเป็นการทำงานที่จริงจังมากครับ แต่หลังจากนั้นพอเราถ่ายทำหนังกันจริงๆ อเลฮังโดรใส่รายละเอียดลงไปในทุกอย่างรวมถึงบทภาพยนตร์ด้วย เขาจะได้เน้นความสนใจไปที่การแสดงอย่างเดียว” แม้ว่าริกแกนจะเป็นนักแสดงคนหนึ่งและนี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกของบรอดเวย์ ผมก็หวังว่าทุกคนจะมองว่าริกแกนเป็นตัวละครธรรมดาทั่วไป และเขารู้สึกบางอย่างที่เราทุกคนต้องทรมาน เรามีเบิร์ดแมนคอยบอกเราคือสุดยอด เรารู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราดีที่สุด หลังจากนั้น 1 ชั่วโมงกลับบอกเราว่าเราแย่ที่สุดในโลก เราไม่ได้พิเศษอะไรเลยแถมยังโง่ด้วย ผมคิดว่าทุกคนจะเข้าใจในจุดนั้นได้บ้าง อีโก้ของเขาที่เกิดขึ้น การสร้างอีโก้ขนาดใหญ่ของเขาขึ้นมา และตอนที่เขาตกต่ำ เขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างสะเทือนใจมากแต่มันเป็นวิธีเดียวที่เขาจะได้เรียนรู้และได้กลับมาเป็นคนเดิม” เขากล่าวสรุปการเตรียมแผนงานร่วมกับกล้อง

ช่วงเวลานานก่อนที่จะมีการถ่ายทำภาพยนตร์ มีการคิดสร้างสรรค์ เขียนบท และเจอกับประสบการณ์ชีวิตที่ต่อเนื่องตลอดเวลา “ตั้งแต่บทภาพยนตร์หน้าแรก ผมรู้ว่าผมอยากให้มันดูมีชีวิตชีวาและทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ถึงมุมมองจริงจากตัวละครหลักอย่างครบคลุม นี่ถือเป็นความแปลกใหม่สำหรับผมและทุกคนที่มีส่วนร่วมด้วย ความท้าทายจึงเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่บทภาพยนตร์ไปจนถึงเฟรมสุดท้ายในช่วงโพสต์-โพรดักชั่น” อินาร์ริตูกล่าว

ธรรมชาติของฉากต่างๆ ที่มีความต่อเนื่องเป็นรูปร่างขึ้นมาได้โดยอาศัยกล้อง Steadicam และกล้องแฮนด์เฮลด์ซึ่งการจัดแสงไม่สามารถทำได้โดยใช้อุปกรณ์การถ่ายภาพแบบสมัยก่อน การวางแต่ละฉากพร้อมคำพูดมีจังหวะที่แม่นยำเข้ากับการเคลื่อนไหวของกล้อง ซึ่งมันแทบไม่เหมือนกับฉากในภาพยนตร์แต่คล้ายกับละครเวทีที่ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ถ่ายทำมากกว่า

“เรามีการจัดวาง ซักซ้อม และออกแบบฉากต่างๆ ในเวทีโล่งๆ ที่มีแต่สแตนอิน ในโลกของคอมเมดี้จังหวะคือสิ่งที่สำคัญสุด ฉะนั้นในขั้นตอนนี้ผมไม่ได้พบแค่จังหวะในฉากต่างๆ เท่านั้น แต่ฉากต่างๆ และช่องว่างที่ออกแบบมามีความถูกต้องแม่นยำมากหลังจากที่เราทุกคนได้เรียนรู้จากมัน” อินาร์ริตูอธิบาย

“ไชโว (หรือที่รู้จักในนามเอ็มมานูเอล ลูเบสกี้) เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีมากเท่าที่ผมจะหาได้เลยครับ เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ชำนาญด้านแสงไฟ แต่ผมคิดว่ามีผู้กำกับภาพเพียงไม่กี่คนที่รับมือกับเทคนิคต่างๆ ที่หนังเรื่องนี้ต้องการได้ เราไม่สามารถจัดแสงให้นักแสดงในแบบสมัยก่อนได้ เวลาที่เราถ่ายทำให้ครบพื้นที่ เราต้องให้แสงในมุมต่างๆ และต้องมีเวลาจัดแสง เขาสามารถจัดแสงได้โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อภาพของหนัง ด้วยความสามารถและฝีมือที่น่าทึ่ง ผมคิดว่ามีเพียงไชโวที่สามารถทำได้ครับ” อินาร์ริตูกล่าว เนื่องจากการจัดการกับกล้องมีความพิเศษเฉพาะตัวมาก อินาร์ริตูจึงยืนยันที่จะซักซ้อมความเข้าใจร่วมกับนักแสดงทุกคน “พวกเขาต้องเข้าใจว่าผมกำลังจะทำอะไร ทุกช่วงเววลา ทุกย่างก้าว การหันหน้าทุกครั้งต้องมีการเห็นอย่างชัดเจนก่อน รวมถึงการออกแบบท่าทางอย่างพิถีพิถันด้วย ไม่มีการแสดงสดใดๆ เลย ต้องมีการศึกษาเรื่องจังหวะที่ลงตัวกับเวลา” อินาร์ริตูอธิบาย

“ทุกวันเหมือนถ่ายทำเพียงฉากเดียว เราต้องแสดงอย่างต่อเนื่อง ปกติเราจะมีการถ่ายตรงนี้ 5 ครั้ง ตรงนี้ 12 ครั้ง ถ่ายโคลสอัพ มีการถ่ายส่วนย่อยเพื่อรวมกับการแสดง แต่เรื่องนี้ไม่มีแบบนั้นเลยครับ เราไม่มีการเผื่อไว้เลย เราถ่ายทำได้แค่ครั้งเดียว และทุกอย่างจะมารวมเข้ากัน นักแสดงทุกคนต้องไม่ผิดพลาดเลย” คีตันกล่าว

“ผมมีรูปของ Philippe Petit อยู่ที่ออฟฟิศ ผมส่งภาพก็อปปี้ไปให้นักแสดงทุกคน ผมอยากให้พวกเขาจดจำไว้ว่าเราทุกคนต่างเดินอยู่บนลวดที่แขวนอยู่สูง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความแม่นยำ ความมั่นใจ การไว้ใจกันและกัน เราตกลงมาจากบนนั้นได้ง่ายดายมาก” อินาร์ริตูกล่าว แม้ว่าในแง่ของเทคนิคการถ่ายจะมีความสำคัญมาก แต่การใช้เวลาศึกษาตัวละครต่างๆ ก็สำคัญไม่แพ้กัน “เราต้องผ่านขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและน่าสนใจเพื่อถ่ายทอดฉากต่างๆ ออกมา ความหมายและจุดมุ่งหมายของเนื้อหา ประเด็นสำคัญและเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของตัวละครทุกตัว เป้าหมายและแรงบันดาลใจรวมถึงผลจากอารมณ์และการกระทำของพวกเขา” อินาร์ริตูอธิบาย นอร์ตันสนุกกับการติดตามการถ่ายทำเรื่อง BIRDMAN และเล่าว่ามันไม่ได้เน้นย้ำแค่ความแปลกประหลาด จุดเปลี่ยน และความรักระหว่างตัวละครต่างๆ แค่นั้น มันถือเป็นอีกย่างก้าวหนึ่งของหลักการสำหรับภาพยนตร์อินาร์ริตูด้วย ตามความเหมาะสมแล้วนี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับละครเรื่องหนึ่ง นอร์ตันเล่าว่ามันต้องอาศัยการแสดงละครในการถ่ายทำภาพยนตร์ด้วย

“อเลฮังโดรพยายามทำสิ่งที่ตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งนั่นคือการสร้างจุดเชื่อมต่อในเชิงภาษาพูดโดยผ่านการถ่ายทำ จินตนการเรื่องการถ่ายทำเทคเดียวสำหรับผมถือเป็นการเปลี่ยนแปลงการทำงานของอเลฮังโดร ในแง่ของการสร้างประสบการณ์อันดุเดือดในช่วงเวลาที่สอดคล้องกัน ตัวอย่างเช่น ในเรื่อง BABEL เราจะมีโลกต่างๆ ที่สอดคล้องกันจากเครื่องแต่งกาย ส่วนเรื่องนี้เรามีทั้งเรื่องความสัมพันธ์และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันจากภาพที่ถ่ายทอดออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาหนึ่งและต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งผมชอบมากครับ มันเป็นการโยนความรับผิดชอบให้นักแสดงคนนั้นในแบบที่เราทำได้ในละครเวทีเท่านั้น ซึ่งมันมีบางสิ่งที่มีพลังมาก ผมคิดว่ามันทำให้เกิดพลังในการแสดงบางอย่างขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวด้วย อเลฮังโดรเปรียบเหตุการณ์เหมือนการเดินอยู่บนเส้นด้ายโดยไม่มีตาข่ายรองรับด้านล่าง มันมีการพัฒนาเราขึ้นมาในแบบที่แตกต่างจากการถ่ายทำภาพยนตร์ทั่วไป” นอร์ตันกล่าวการถ่ายทำอย่างต่อเนื่องของอินาร์ริตูถือเป็นประสบการณ์ที่ทำให้สโตนหลอนเหมือนกัน “เราถ่ายทำฉากนี้ที่ฉันพูดแค่ 1-2 ประโยค แต่เป็นฉากที่สำคัญมากเพราะมันอยู่ในฉากที่ยาวระหว่างไมเคิลกับเอ็ดเวิร์ด บทของฉันคือเข้าไปพูดว่า ‘แลร์รี่พร้อมลองชุดแล้วค่ะ’ จากนั้นก็พาเอ็ดเวิร์ดไปที่มุมห้อง แค่นั้นแหละค่ะที่ฉันต้องแสดง แต่อเลฮังโดรบอกกับฉันว่าต้องช้าลงประมาณ 30% ไม่งั้นเขาจะถ่ายฉากนั้นออกมาไม่ได้ ฉันรู้สึกว่าโอ้พระเจ้า ฉันจะทำพังไม่ได้นะ ตอนเทคที่ 25 ฉันนั่งอยู่หลังฉากและพูดบทของฉันไม่ออก มันมีความกดดันมากค่ะ เหมือนกับละครเวทีที่ทุกเทคขึ้นอยู่กับเราด้วย มันเหมือนกับการแสดงกายกรรมเลยค่ะ ทุกอย่างต้องอาศัยเทคนิคขั้นสูง แต่เราก็ต้องแสดงออกไปด้วยความร่าเริง เพราะตลอดเวลาที่กล้องจับมาที่เรามันจะอยู่ในหนังโดยไม่มีการตัดออกไปเลย ไม่มีการพูดว่า ‘โอ้ ฉันทำพลาด แต่พวกเขาใช้ฉากอื่นได้นี่’” สโตนกล่าว

แกลิเฟียนาคิสเรียกวิชวลสไตล์ของอินาร์ริตูว่าเป็น “การเล่าเรื่องอย่างไม่มีรอยต่อ” และยังมองว่าเป็นการทดสอบการแสดงในหนังที่เรียกความสดชื่นให้นักแสดงด้วย “ผมคิดว่าการถ่ายทอดเรื่องราวมีความน่าสนใจและมีกล้องเคลื่อนที่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน มันมีการสำรวจพื้นที่การถ่ายทำและจังหวะ ในแง่ของการบรรลุถึงจุดมุ่งหมาย การส่งบทของเรา ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ แต่อเลฮังโดรเป็นคนสบายๆ และนิสัยดีมากครับ ผมพบว่าทุกสิ่งมีความน่าสนใจ นี่คือภาพยนตร์เกี่ยวกับนักแสดงที่ลงเอยด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่ทดสอบความเป็นนักแสดงของเราทุกคน ” แกลิเฟียนาคิสแสดงความเห็นการจัดฉากเวที

ภาพยนตร์เรื่อง BIRDMAN มีการถ่ายทำ 30 วันที่นิวยอร์คทั้งหมด ภาพยนตร์เรื่องแรกของอินาร์ริตูที่ Gotham และไม่เคยมีการจำลองฉากเมืองไหนที่ผู้สร้างภาพยนตร์ให้ความสนใจเลย

“ตัวเมืองและบรอดเวย์มีตัวตนอยู่ในภาพยนตร์ การทำให้ภาพยนตร์ดูสมจริงมากที่สุดได้ จะมีที่ไหนดีไปกว่าที่นิวยอร์ค ความวิเศษอยู่ที่ที่นั่นเป็นศูนย์รวมของศิลปิน ผู้ชำนาญ และนักแสดงที่มีพรสววรรค์จำนวนมากที่นิวยอร์ค มันเหมาะกับละครเวทีและภาพยนตร์ที่อเลฮังโดรต้องการ” ผู้อำนวยการสร้างฯ จอห์น เลสเชอร์ กล่าว

ผู้สร้างภาพยนตร์ยังเลือกที่จะถ่ายทำภาพยนตร์เป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เรื่องราวมีความโดดเด่นสะดุดตา ต่างจากผลงานเรื่องอื่นๆ แต่ต้องใช้ความพยายามสูงเป็นพิเศษเพราะมีตารางเวลาถ่ายทำเพียงสั้นๆ “ความต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญต่อการทำงานของอเลฮังโดร เช่นเดียวกับการศึกษาสิ่งที่อยู่ในตัวของริกแกน มันช่วยสนับสนุนภาพยนตร์ได้ครับ ในแต่ละวันไมเคิลสร้างผลงานสาธารณะ มีการกำหนดโทนที่เหมาะสมและจังหวะการเปลี่ยนแปลงงตัวละครของเขา เขาน่าทึ่งมากครับ” ผู้อำนวยการสร้างฯ จิม สกอตช์โดโพลกล่าว

กองถ่ายเก็บภาพในหนังส่วนใหญ่ที่โรงละครบรอดเวย์จริงที่ St. James on 44th Street ใจกลางย่านไทม์สแควร์ St. James มีเรื่องราวความเป็นมาถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ของ Sardi’s Restaurant แต่ดั้งเดิม เปิดตัวเมื่อปี 1927 และผลงานที่มีชื่อเสียงหลายเรื่องเปิดตัวกันที่นี่ อาทิเช่น “Native Son,” “Oklahoma,” “The King and I,” “The Pajama Game,” “Beckett” และล่าสุดคือ “Gypsy,” “American Idiot,” “Hair” และ “Bullets Over Broadway”“ถือเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงที่มีการแสดงหนึ่งมาจัดที่โรงละครบรอดเวย์ และมีการถ่ายทำฉากภายในนานเหมือนกับที่เราทำ แต่โรงละครคือที่ตั้งมั่นสำหรับทุกอย่างในเรื่อง” ผู้จัดการด้านสถานที่วาคีน พรานเก้ กล่าว “นั่นเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่มาก การหาโรงละครที่สามารถใช้งานได้ตามตารางเวลาของพวกเรา เรามีการตัดออกประมาณ 6 แห่งจนอเลฮังโดรและทุกคนให้การยอมรับในประวัติความเป็นมา ภาพลักษณ์หน้าตา และอารมณ์ของที่นี่ ขณะที่มันมีความสง่างามมันก็มีชื่อเสียงมากด้วย มันมีความยากลำบากเป็นอุปสรรคและผมคิดว่ามันเหมาะกับสิ่งที่เขาตามหาเพื่อริกแกน เขาอยู่ในสถานที่ที่ไม่ใช่เวทีบรอดเวย์รอบปฐมทัศน์ มันอยู่ริมถนนไม่ใช่โรงละครบรอดเวย์ ซึ่งขณะที่การแสดงที่ประสบความสำเร็จอยู่รายล้อมรอบตัวเขา นี่คือโรงละครที่มีการแสดงหมุนเวียนหลายเรื่องและเรารู้สึกว่านี่คือสถานที่ที่จัดแสดงได้จริง”

“โลกของละครบรอดเวย์จะมีกำหนดเวลา พวกเขาทำการซ้อมทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน ขณะที่เวลางานของเราขึ้นอยู่กับว่าเราจะถ่ายทำฉากไหนและเมื่อเราสิ้นสุด 1 วันล่วงหน้า ฉะนั้นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นทำให้นักแสดงละครเวทีต้องใช้ชีวิตอย่างวนเวียน แต่พวกเขาก็เดินหน้าไปกับมันได้อย่างยอดเยี่ยม มันเปป็นการเรียนรู้การทำงานสำหรับเราทุกคนเลย” พรานเก้กล่าว

แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่อง BIRDMAN ต้องอาศัยโรงละคร St. James ซึ่งมีฉากหนึ่งที่นักแสดงต้องเลนฉากสุดท้ายของละครเรื่อง “What We Talk About When We Talk About Love” ต่อหน้าผู้ชมที่เป็นนักแสดงสมทบอย่างสดๆ มีการจัดล็อบบี้ของโรงละครและภายนอกขึ้นมาสำหรับภาพยนตร์

“ผมรู้ดีว่าเรื่องสำคัญของอเลฮังโดรคือการถ่ายทอดอารมณ์ของไทม์สแควร์และบรอดเวย์ กิจกรรมบนท้องถนน ผู้คน แสงไฟ การจราจร ความหนาแน่นของทุกสิ่ และ 44th Street ก็วิเศษมากเพราะมันตรงกับสภาพแวดล้อมของไทม์สแควร์ เราสัมผัสได้ถึงพลังที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งช่วงตึก” พรานเก้อธิบาย

ผู้ออกแบบฉาก เควิน ธอมป์สันได้รับมอบหมายให้ประกอบ St. James เข้ากับฉากหลังเวทีที่สร้าขึ้นมาใหม่ และฉากห้องแต่งตัวที่ทีมงานของเขาสร้างขึ้นมาที่ Kaufman Astoria Studios “การคุยกันครั้งแรกระหว่างผมกับอเลฮังโดรคือโลกของเวทีของโรงละครและเบื้องหลังของมัน เขาให้ความสนใจกับสองสิ่งนั้นที่เหลื่อมล้ำกันมากผมคิดว่ามันคงเป็นความท้าทายอย่างน่าเหลือเชื่อหากมีโลกทั้งสองใบนี้มาบรรจบกัน รวมถึงไอเดียของการถ่ายทำภาพยนตร์ที่โรงละครบรอดเวย์ของจริง การออกแบบฉากต่างๆ สำหรับการแสดงและฉากห้องแต่งตัวหลังเวที ความซับซ้อนบนทางเดินที่มีความน่าสนใจมาก” ธอมป์สันอธิบาย