ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ (Prof.Dr.Suchatvee Suwansawat) นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวถึงความสำคัญของระบบรางตออนาคตของประเทศไทยว่า “จากแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศด้านการคมนาคมตามวิสัยทัศน์ของประเทศ เพื่อให้ประเทศมีขีดความสามารถในการแข่งขัน คนไทยอยู่ดีกินดี มีความเสมอภาคและเป็นธรรม มีโครงการหลักที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ดังกล่าวคือ การพัฒนาระบบขนส่งทางราง เพื่อเป็นแนวทางสำคัญในการขนส่งทางบกและระบบโลจิสติกส์ของประเทศ ทั้งด้านระบบรถไฟทางคู่และระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล นับเป็นโอกาสดีที่ประเทศไทยจะได้พัฒนาขีดความสามารถด้านเทคโนโลยีและการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง รวมถึงภาคการศึกษาวิจัยจะใช้โอกาสนี้ในการเรียนรู้เพื่อสั่งสมและบ่มเพาะความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสาขาระบบขนส่งทางรางยกระดับความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมของประเทศอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงสร้างเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศให้ก้าวสู่ฐานการผลิตชิ้นส่วนด้านระบบรางของภูมิภาคควบคู่ไปกับการพัฒนาด้านคมนาคม ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบรางทั้งในเมืองและเชื่อมโยงสู่นอกเมือง เชื่อมต่อภายในประเทศ สู่ประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากจะทำให้เกิดการสร้างงาน การลงทุนมหาศาล พร้อมทั้งการพัฒนาการบริหารสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันทางภาครัฐบาลได้ส่งเสริมการพัฒนาระบบขนส่งทางรางไม่ว่าจะเป็นระบบรถไฟรางคู่ รถไฟกึ่งความเร็วสูง รถไฟฟ้าบนดิน รถไฟฟ้าใต้ดิน ทั้งที่ก่อสร้างในปัจจุบันและกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ให้ครอบคลุมและเชื่อมโยงจังหวัดต่างๆ รวมระยะทางมากกว่า 30,000 กิโลเมตร ผ่านย่านธุรกิจ การค้า และอุตสาหกรรม รวมทั้งมีการพัฒนาสถานีและย่านธุรกิจของจังหวัดต่างๆ ไม่น้อยกว่า 400 สถานี ประเทศไทยมีการเตรียมพร้อมเพียงใดที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของประเทศ ทั้งในด้านการเตรียมบุคคลากร การลงทุน และวิศวกรรม จึงต้องเร่งการขยาย เปิดสอนหลักสูตรวิศวกรรมขนส่งทางราง ช่างเทคนิคและบุคลากร สนับสนุนงานบริการอย่างจริงจังให้เพียงพอต่อความต้องการ เป้าหมายความต้องการกำลังคนในระบบขนส่งทางรางในปี 2563 จำนวน 31,000 คน (แบ่งเป็น วิศวกรจำนวน 6,000 คน, ช่างเทคนิคจำนวน 12,000 คน, เจ้าหน้าที่ประจำสถานีจำนวน 13,000 คน) ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องสนับสนุนแผนพัฒนากำลังคนด้านระบบการขนส่งทางรางระหว่างสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ กับ สวทน. อย่างจริงจัง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะแรกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นการวางรากฐานการพัฒนากำลังคนด้านระบบขนส่งทางรางอย่างเป็นระบบและการพัฒนาเครือข่ายของผู้มีบทบาทสำคัญ, ระยะที่สอง ปี 2557-2561 เป็นการพัฒนาศูนย์ฝึกอบรมทางเทคนิคสาขาวิศวกรรมระบบขนส่งทางรางและสนับสนุนการทำวิจัยและพัฒนา เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาบุคลากร และระยะที่สาม ปี 2562-2573 เป็นการเชื่อมโยงและการขยายเครือข่ายการพัฒนากำลังคนระบบการพัฒนามาตรฐานและการผลิตเพื่อสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม”
ดร.สุเมธ องกิตติกุล (Dr.Sumet Ongkittikul) ผู้อำนวยการวิจัย ด้านนโยบายการขนส่ง และโลจิสติกส์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศ (TDRI) ได้กล่าวถึงเรื่องแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ และการลงทุนระบบรางประเทศไทยว่า “รัฐบาลได้ทบทวนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบรางของประเทศไทยในกรอบเวลา 10-15 ปี รวมมูลค่า 3 ล้านล้านบาท การปฏิรูประบบรางเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานนี้ ที่รัฐบาลเห็นความจำเป็นเร่งด่วนและพัฒนาต่อเนื่องในระยะยาวควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ เมื่อเร็วๆนี้กระทรวงคมนาคมได้เดินหน้ารถไฟทางคู่ไทยจีน ซึ่งเป็นทางมาตรฐาน 1.435 เมตร ในงบประมาณ 4 แสนล้านบาท ประกอบด้วยรถไฟทางคู่ หนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด และกรุงเทพ-แก่งคอย รวมระยะทาง 873 กิโลเมตร ใช้เวลาในการก่อสร้าง 2 ปีครึ่ง และคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ปลายปี 2560 นับเป็นโครงสร้างพื้นฐานของรถไฟไทยที่เป็นความร่วมมือกับจีนเป็นครั้งแรกและช่วยส่งเสริมเชิงยุทธศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งเป็นการยอมรับว่าไทยเป็นศูนย์กลางการคมนาคมในภูมิภาคอาเซียน
การปฏิรูปการบริหารจัดการและบุคลากรในระบบขนส่งทางราง เช่น การรถไฟแห่งประเทศไทยซึ่งมีปัญหาที่สั่งสมมาจากโครงสร้าง ในระบบถนนนั้นรัฐบาลเป็นผู้จ่ายค่าสร้างถนนและประชาชนซื้อรถมาวิ่ง แต่ระบบรางนั้นการรถไฟแห่งประเทศไทยต้องลงทุนเองทำเองทุกอย่าง ดังนั้นจึงควรแยกโครงสร้างออกมาจากการประกอบการ แบ่งแยกระบบรางออกมา เช่นอาจจะตั้งเป็นกรมรางขึ้นมา ทั้งควรพิจารณาสิ่งใดที่เหมาะสมให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุน รวมทั้งต้องบริหารจัดการให้ค่าโดยสารมีความเหมาะสม การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งทางรางจะเป็นกลไกสำคัญในการกระจายความสำเร็จไปสู่ภูมิภาคต่างๆ โดยสามารถพัฒนาเป็นแบบจำลองในการพัฒนาประเทศผ่านการสร้างระบบขนส่งทางรางควบคู่กับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเป็นระบบก็จะสามารถกระตุ้นการเติบโตในส่วนของภูมิภาคได้อย่างดี
อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาระบบขนส่งทางรางคือการบริหารจัดการประสบการณ์ในการบริหารงาน การขาดแคลนแรงงานและการสร้างการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนในการร่วมพัฒนาระบบขนส่งทางรางของประเทศ”
ดร.รัฐภูมิ ปริชาตปรีชา (Dr.Rattapoohm Parichatprecha) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อความเป็นเลิศด้านนวัตกรรมระบบราง มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้กล่าวถึงเรื่องการถอดบทเรียนการพัฒนาระบบรางจากประเทศเกาหลีใต้และแนวทางการพัฒนาสำหรับประเทศไทยว่า “ประเทศเกาหลีใต้เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการพัฒนาระบบรางและบุคลากร ทั้งนี้เกาหลีใต้พัฒนาระบบรางมาพร้อมกับไทย แต่กลับทิ้งห่างประเทศไทยไปกลายเป็นหนึ่งในผู้นำนวัตกรรมระบบขนส่งทางรางของเอเชีย เนื่องจากรัฐบาลมีวิสัยทัศน์และได้ผนึกความร่วมมือพร้อมจัดองค์กรให้ทำงานร่วมกันสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ทำๆหยุดๆ 5 องค์กรที่ทำงานร่วมกันมี 1.องค์กร KRRI หรือ Korea Railroad Research Institute ทำหน้าที่ผนึกกำลังนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมทุกสาขาของประเทศมุ่งทำศึกษาวิจัยระบบรางและอุปกรณ์ 2.องค์กร KRNA หรือ Korea Rail Network Authority ทำหน้าที่วางแผนด้านวิศวกรรมและดูแลงานก่อสร้าง 3.องค์กร KORAIL หรือ Korea Railroad Corporation ทำหน้าที่ในด้านปฏิบัติการและควบคุมการเดินรถไฟ บริการผู้โดยสารและซ่อมบำรุงรักษา 4. KOTI (Korea Transport Institute) รับผิดชอบงานวิจัยด้านการขนส่งทุกชนิด การเชื่อมต่อของการขนส่งในรูปแบบต่างๆทั้งถนน ระบบราง อากาศและทางน้ำ โดยมุ่งเป้าด้านการพัฒนาระบบการขนส่งเพื่อสร้างการเชื่อมตอกันให้มีประสิทธิภาพสูงสุด 5.กลุ่มบริษัทภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมขนส่งทางรางทำหน้าที่ผลิตระบบรางและอุปกรณ์ ทั้ง 5 ส่วนนี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงที่ดิน สาธารณูปโภคและขนส่ง (Ministry of Land, Infrastructure & Transport) ซึ่งทำหน้าที่กำหนดนโยบายและแผนการลงทุนพัฒนาระบบรางให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาประเทศ และเกาหลีใต้ยังมีหน่วยงานวิจัยที่สำคัญเพื่อการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมทุกชนิดอย่างเป็นระบบ รวมถึงการให้ทุนกับสถาบัน KRRI คือ National Council of Science and Technology (NST)
เกาหลีใต้ได้ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาเครือข่ายรถไฟทั้งรถไฟในเมืองซึ่ง โครงข่ายรถไฟในกรุงโซลถือเป็นโครงข่ายรถไฟที่ยาวที่สุดในโลกมีความยาวรวมกันถึง 940 กิโลเมตร มีโครงการรถไฟระหว่างเมืองความยาวรวม 3,590 กิโลเมตร (รถไฟความเร็วสูง 368 กิโลเมตร ,รถไฟธรรมดา 3,221 กิโลเมตร) การพัฒนาด้านการขนส่งของเกาหลีใต้ยังควบคู่ไปกับการพัฒนาเมืองอย่างเป็นระบบมีการวางแผนระยะยาว มีการกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดสำหรับทุกโครงการอย่างชัดเจนเช่นในกรุงโซลมีการตั้งสถาบัน Seoul Institute มาทำการวิจัยเพื่อการวางแผนการขนส่งในกรุงโซล โดยตั้งเป้าให้ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลให้มากที่สุด สร้างรูปแบบการเดินทางโดยคำนึงถึง3ปัจจัยหลักคือ 1) คุณค่าในชีวิตมนุษย์ (Human) 2) การแบ่งปัน (Sharing) 3) สิ่งแวดล้อม (Environment) ทั้งนี้แผนดังกล่าวได้ถูกวางไว้ให้บรรลุผลในปี 2030 ปัจจุบันมีหลายโครงการที่ได้ทำและประสบผลสำเร็จเช่นโครงการ Road Diet การขนาดช่องจราจรสำหรับรถยนต์เพื่อนำไปเพิ่มขนาดทางเดินเท้าและทางจักรยานเป็นต้น รูปแบบการลงทุนถือเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบรถไฟในเกาหลีใต้ โดยปัจจุบันทางรัฐบาลได้มุ่งเน้นการลงทุนแบบ PPP (Public Private Partnership) มากขึ้นโดยมีรูปแบบ PPP อยู่สองรูปแบบคือ BTO (Build-Transfer-Operate) และ RTL (Build-Transfer-Lease) ทั้งนี้ KRRI ถือเป็นกลจักรสำคัญในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบสนองโจทย์จากภาครัฐและอุตสาหกรรม ด้วยแผนการพัฒนาที่ชัดเจน ด้วยเงินทุนวิจัยและบุคคลากรที่เพรียบพร้อมทำให้เพียง 17 ปี เกาหลีใต้ได้พัฒนาตนเองจากผู้ใช้เป็นผู้ส่งออกสำหรับอุตสาหกรรมรถไฟในระดับแถวหน้าของโลก โดยมีนวัตกรรมที่น่าสนใจอาทิ รถไฟฟ้าความเร็วสูง HEMU 430X, Urban Maglev, Light Rail Transit System (LRTs), Automatic Guided Transit System (AGTs), and Bimodal and Mini Tram System เป็นต้น
สำหรับประเทศไทยเองก็ประสบปัญหาด้านการการขนส่งและจราจรทั้งปัญหาพลังงาน ต้นทุนโลจิสติกส์ ปัญหารถติด ปัญหาอุบัติเหตุ รวมถึงมลภาวะต่างๆ ทั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการใช้การขนส่งทางถนนถึงเกือบ 90% ถือเป็นความท้าทายที่ให้ทุกรัฐบาลจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งโดยเฉพาะระบบขนส่งทางราง มีการวางแผนการลงทุนด้านระบบรางถึงกว่า 1 ล้านๆบาท มีโจทย์วิจัยและมีความต้องการองค์ความรู้มากมายเพื่อนำมาใช้ในการดำเนินการดังกล่าวอาทิเช่น การพัฒนาบุคคลากรด้านต่างๆเพื่อรองรับงานด้านระบบราง PPP การพัฒนาระบบขนส่งควบคู่กับการพัฒนาระบบผังเมือง (TOD) การพัฒนาชิ้นส่วนจากอุตสาหกรรมในประเทศ มาตรฐานด้านความปลอดภัยและการให้บริการ ตลอดจนการซ่อมบำรุงเป็นต้น จากบทเรียนของประเทศเกาหลีใต้ที่มีการสร้างองค์ความรู้ผ่านงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบรางของประเทศจนสามารถกลายเป็นผู้ส่งออกในที่สุด ประเทศไทยควรใช้เป็นบทเรียนในการดำเนินการดังกล่าวควบคู่ไปกับแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งนี้แผนการภาครัฐในเรื่องโครงการต่างๆยังขาดการบูรณาการงานวิจัยในประเทศอันจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านระบบรางอย่างยั่งยืน จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะสร้างหน่วยงานวิจัยด้านระบบรางโดยอาจใช้รูปแบบโครงสร้างแบบเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น หรือออสเตรเลีย เพื่อสร้างองค์ความรู้ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงการประยุกต์ใช้ โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ผ่านโครงการเมกะโปรเจคที่กำลังจะเกิดขึ้น มีการบูรณาการระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้อง มิเช่นนั้นการลงทุนมหาศาลที่จะเกิดขึ้นเราจะเป็นเพียง end user ผู้ซื่อสัตย์ที่อยู่ปลายน้ำเพียงรอซื้อผลิตภัณฑ์จากกลุ่มประเทศผู้ผลิตต้นน้ำเท่านั้น ทั้งหมดคือโอกาสและความท้าทายของ นักวิจัย วิศวกรและคนไทยทั้งประเทศว่าจะสามารถพัฒนาตนเองจากผู้ใช้ไปเป็นผู้ผลิตได้หรือไม่ในอนาคต เป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนต้องช่วยกันหาคำตอบ
ดร.สมประสงค์ สัตยมัลลี (Dr. Somprasong Suttayamully) รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาและบริหารพื้นที่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) ได้กล่าวถึงเรื่องการพัฒนาพื้นที่ย่านสถานีรถไฟฟ้าและวิถีชีวิตคนเมืองในอนาคตว่า “ผู้บริหารประเทศ ผู้บริหารองค์กร และบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบราง ควรจะต้องเข้าใจลึกซึ้งถึงแนวคิดการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทางราง ว่าธุรกิจระบบขนส่งมวลชนระบบรางไม่ใช่เป็นแค่การสร้างงานระบบรางแล้วนำรถมาวิ่งแล้วจบ แต่เป็นการทำอย่างไรที่จะดึงประชาชนให้เข้ามาใช้ระบบรางที่เป็นระบบหลักให้ได้มากที่สุด นั่นคือผู้ใช้บริการต้องได้รับความสะดวกมากที่สุด เพื่อแลกกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเดินทางจากเดิมที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวเป็นหลัก เดิมประเทศของเราเติบโตมาพร้อมกับถนนและยานพาหนะส่วนตัว ที่อยู่อาศัยก็กระจัดกระจายไปเรื่อยตามแนวถนนและซอยย่อย ดังนั้นการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะขนาดใหญ่จะต้องคำนึงถึงความยั่งยืน โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยรอบพื้นที่สถานี และต้องจัดให้มีบริการต่างๆให้ครบครันควบคู่กันไปตามหลักการการเติบโตอย่างชาญฉลาด
การทำให้เมืองอยู่รอบสถานี ทำให้ความหนาแน่นรอบสถานีถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่การสร้างความแออัด ทุกวันนี้ที่ดูแออัดเพราะมีนักพัฒนาไม่กี่รายที่ร่วมพัฒนาเมืองโดยเน้นหลักการเติบโตอย่างชาญฉลาด การพัฒนาเมืองอย่างชาญฉลาดถือได้ว่าเป็นการสร้างเมืองใหม่ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการเดินทางที่ซ้ำซ้อน ประชาชนสะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการเดินทางลดลง มีเวลาให้ครอบครัวและเวลาในการคิดหาความรู้ และสร้างจินตนาการเพื่อมาพัฒนาประเทศได้ ประชาชนก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้น รัฐบาลต้องมีแผนที่ชัดเจนและทำอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องเริ่มจากนโยบายของรัฐบาลที่ต่อเนื่องและชาญฉลาด ผู้บริหารประเทศต้องมีวิสัยทัศน์ก้าวไกล มองไปอีก 20 ปีข้างหน้าให้ได้อย่าติดกับดักกับสภาพปัจจุบัน
รัฐจึงต้องลงทุนทำให้เกิดความสะดวกที่มากขึ้นในการเข้าใช้ระบบขนส่งมวลชน และทำให้ราคาค่าโดยสารที่เหมาะสม ที่พักอาศัยตามแนวรถไฟฟ้าก็ต้องมีราคาที่เหมาะสมเกื้อกูลคนทุกชนชั้น เมื่อประชาชนทุกชนชั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีจากการมีเวลาเหลือให้กับครอบครัว ก็จะส่งผลต่อการทำงานได้ดีเช่นกัน ขณะนี้ทางการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ก็ใช้อัตราเวนคืนที่ดินในราคาที่เทียบเท่ากับภาคเอกชน และพยายามแก้ไขกฎระเบียบ ต่างๆ เพื่อให้ รฟม. มีบทบาทที่กว้างขึ้น และเพิ่มโอกาส และความสะดวกที่การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยจะได้มีส่วนในการพัฒนาและบริหารจัดการที่อยู่อาศัยตามแนวรถไฟฟ้า เช่นเดียวกับองค์กรรถไฟฟ้าของฮ่องกง ทำให้เมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้นและตอบสนองต่อประโยชน์ส่วนรวมได้มากขึ้น รัฐเองก็อาจให้สิทธิประโยชน์แก่ภาคเอกชนที่ให้ความร่วมมือกันพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกื้อกูลผู้มีรายได้น้อยในรูปของการจัดเก็บภาษีให้สิทธิพิเศษสร้างอาคารได้สูงกว่าปกติ เป็นต้น”
                            
                            "สมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข" STI รับมอบเกียรติบัตรในฐานะ "วิศวกรอาสา" ร่วมมือ กทม. ช่วยเหลือตรวจสอบอาคาร และให้คำแนะนำในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
                        
                            AIT ส่งทีมวิศวกรเข้าร่วมสำรวจโรงเรียนวิสุทธิกษัตรี เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง ความแข็งแรงและความปลอดภัยของอาคารเรียน
                        
                            บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI จัดอบรมการใช้เครนอย่างปลอดภัยในการก่อสร้าง เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย
                        
                            STI GROUP ร่วมสนับสนุนกิจกรรม วิศวกรอาสา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ผู้ประสบอุทกภัย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
                        
                            SPU ปรบมือให้! ไกรศร วิเชียรสาร นศ.วิศวกรรมโยธา คว้ารางวัลเรียนดีจาก วสท. พร้อมได้รับเลือกเข้าค่ายอบรมสุดพิเศษ EIT-TOC Academic Camp 2024
                        
                            นักศึกษา เก่ง! สาขาวิศวกรรมโยธา ม.ศรีปทุม เข้ารับพระราชทานเหรียญรางวัลเรียนดี ประจำปี 2566
                        
                            "ซันโกร" ร่วมกับ วสท. พัฒนาตลาดพลังงานหมุนเวียนไทยอย่างมั่นคงและปลอดภัย
                        
                            วว. / BIM ร่วมผลักดันการทำงานระบบแบบจำลองสารสนเทศของไทยให้ทัดเทียมสากล