กรมสุขภาพจิต เปิดบ้านหลังคาแดง ย้ำ ผู้ป่วยจิต เข้าถึงบริการ อยู่ร่วมสังคมได้ ขอเพียงเข้าใจและให้โอกาส

08 Oct 2015
วันนี้ (8 ก.ย.58) ที่ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ได้จัดงานวันอนุสรณ์ศาสตราจารย์นายแพทย์ฝน แสงสิงแก้ว บิดาแห่งจิตเวชศาสตร์ไทย และวันสุขภาพจิตโลก ประจำปี 2558 (World Mental Health Day 2015) โดยในปีนี้ สหพันธ์สุขภาพจิตโลก (The World Federation Mental Health : WFMH) ได้รณรงค์ภายใต้แนวคิด "Dignity in mental health : สร้างศักดิ์ศรี สร้างคุณค่า ผู้มีปัญหาสุขภาพจิต"เพื่อสร้างความตระหนัก และส่งเสริมให้ผู้มีปัญหาทางสุขภาพจิตสามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีคุณค่า ตลอดจนมอบรางวัลผู้สนับสนุนงานสุขภาพจิตในระบบสาธารณสุขดีเด่น ให้กับ นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีต ปลัด สธ. ซึ่งได้ให้เกียรติปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ "ผู้ป่วยจิตเวช ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการปฏิรูป" ในโอกาสนี้ด้วย พร้อม ย้ำ ผู้ป่วยทางจิตก่อคดี มีไม่ถึง 1% ความผิดร้ายแรงถึงขั้นฆ่า/พยายามฆ่า มีเพียง 1 ใน 5 ยัน หากเข้าระบบ จะได้รับการบำบัดรักษาและติดตามต่อเนื่อง ไม่ก่อคดีซ้ำ วอน อย่าเหมารวม ตราหน้าผู้ป่วยจิตเวชทั่วไป ขอเพียงเข้าใจ ยอมรับ และให้โอกาส ผู้ป่วยทางจิตอยู่ร่วมสังคมได้จริงอย่างปลอดภัยนพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ อดีต ปลัด สธ. กล่าวว่า สิ่งที่มีค่าของมนุษย์ นอกเหนือจาก ตำแหน่งหน้าที่ เกียรติยศ ทรัพย์สินเงินทองนอกกายแล้ว สุขภาพที่ดีถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน ซึ่งตลอดระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาได้เห็นถึงความทุกข์จากการเจ็บป่วยทั้งด้านร่างกายและจิตใจของประชาชนอยู่ตลอดเวลา การจัดระบบสาธารณสุขที่ดีจึงเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยผู้ป่วยเหล่านี้ อย่างไรก็ตาม การเจ็บป่วยทางกาย สามารถบอกอธิบายให้คนรอบข้างเข้าใจได้ง่าย แต่ความเจ็บป่วยทางใจจะบอกหรือเล่าให้คนอื่นรับรู้และเข้าใจได้ยาก ประกอบกับ สังคมยังมีอคติต่อผู้มีปัญหาทางจิต ตราหน้าว่าเป็นผู้อ่อนแอ ล้มเหลว หรือถูกเลี้ยงดูมาอย่างไม่ดี จึงยิ่งทำให้พวกเขาไม่กล้าเปิดเผยตัว ไม่กล้าเข้าสู่ระบบบริการ และแม้แต่เข้าสู่ระบบบริการจนสามารถกลับไปอยู่กับครอบครัวได้ แต่หากขาดการดูแลเอาใจใส่ กินยาไม่ต่อเนื่อง ครอบครัวหรือชุมชนยังไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ แสดงความรังเกียจ กดดัน ล้อเลียน ไม่ให้ผู้ป่วยมีที่ยืนในสังคม อาการก็ย่อมกำเริบ ส่งผลให้การป่วยทางจิตรุนแรงมากขึ้น เสี่ยงต่อการเกิดอันตรายร้ายแรงต่อตนเองและผู้อื่น รวมทั้งเป็นเหตุให้ก่อคดีซ้ำได้ การนอนโรงพยาบาล และการรักษาด้วยยาจึงไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุด กระบวนการฟื้นฟูทางจิตใจจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็น ที่จะช่วยฟื้นฟูการทำงานของสมอง ระบบความคิด การตัดสินใจ และการอยู่กับสังคม

การปฏิรูประบบสุขภาพที่ผ่านมาจึงต้องทำให้ครอบคลุมบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช โดยได้บรรจุเรื่องการบริการทางจิตเวชเป็น 1 ใน 11 กลุ่มโรคสำคัญ เพื่อให้ 12 เขตสุขภาพ และ กทม.นำการบริการสุขภาพจิตและจิตเวชเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการทำงานในเขตสุขภาพ สร้างระบบดูแลผู้ป่วยรายเก่าและรายใหม่เชื่อมโยงเป็นเครือข่ายบริการไร้รอยต่อกับโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งมี 18 แห่งทั่วประเทศ ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ โดยระยะต้นเน้น 4 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคจิต โรคซึมเศร้า รวมทั้งบำบัดผู้ติดสุรา ติดยาเสพติด ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดการบริการที่ครอบคลุมและทั่วถึง เขตบริการสุขภาพสามารถดูแลประชาชนในเขตของตนเอง รวมทั้ง ให้การฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วย ป้องกันมิให้เกิดภาวะเสื่อมถอยของสมอง ตลอดจนฟื้นฟูจิตใจของผู้ป่วยในกรณีที่มีความเสื่อมถอยแล้ว ซึ่งล่าสุด พบว่า ผู้ป่วยโรคจิตเข้าถึงบริการ ร้อยละ 57 อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนของสังคม ทั้งจากภาครัฐ เอกชน ชุมชน และสังคมในการส่งเสริมการเข้าถึงระบบบริการ การสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟู การให้โอกาสทางอาชีพ การยอมรับผู้ป่วยที่หายดีแล้วกลับเข้าสู่ชุมชนและสังคม เพื่อให้ผู้ป่วยที่อาการดีสามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีศักดิ์ศรีในสังคมต่อไปได้ อดีต ปลัด สธ. กล่าวด้าน นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบัน สังคมยังคงมีอคติกับผู้ป่วยจิตเวช และเมื่อใดก็ตามที่ผู้ป่วยจิตเวชก่อเหตุรุนแรงปรากฏเป็นข่าวครึกโครมซึ่งอาจมีเพียงไม่กี่ครั้ง สังคมมักตั้งข้อสงสัยว่าป่วยจริงหรือไม่ จะต้องรับโทษหรือไม่ รวมทั้ง ผู้ป่วยโรคจิตน่ากลัวกว่าทุกคนจริงหรือไม่ เหล่านี้ยิ่งทำให้สังคมเกิดความกลัว ความหวาดระแวง และความเกลียดชัง ตอกย้ำ ตราบาป (stigma) ลดคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของพวกเขาให้น้อยลงไปเรื่อยๆ ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ป่วยทางจิตมีเพียงจำนวนน้อยที่ก่อเหตุรุนแรงขึ้นในสังคม เมื่อเปรียบเทียบกับการกระทำความผิดจากบุคคลที่สภาพจิตปกติ ทั้งนี้ จากการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตของคนไทยระดับชาติ ครั้งล่าสุด คาดมีผู้ป่วยโรคจิต ประมาณ 5 แสนคน ซึ่ง จากรายงานการบำบัดรักษา การจำหน่ายผู้ป่วยและการติดตามผลการบำบัดรักษา ตาม พ.ร.บ.สุขภาพจิต พ.ศ. 2551 ประจำปี 2557 พบผู้ป่วยทางจิตก่อคดี 172 ราย ซึ่งไม่ถึง ร้อยละ 1 ขณะที่ ความผิดร้ายแรงฐานฆ่า/พยายามฆ่า มีประมาณ 1 ใน 5 (ร้อยละ 20.99) ส่วนที่เหลือ เป็นความผิดคดีอื่นๆ เช่น ทำร้ายร่างกาย บุกรุก ยาเสพติด วางเพลิง ฯลฯ โดยผู้ป่วยเหล่านี้จะเข้าสู่ระบบการบำบัดรักษา ฟื้นฟู และติดตามอย่างต่อเนื่องด้วยมาตรฐานเดียวกัน ป้องกันไม่ให้เกิดการก่อคดีซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ต้องขอย้ำว่า ผู้ป่วยทางจิตก่อคดีรุนแรงมีจำนวนไม่มาก และเมื่อใดก็ตามที่ตกเป็นข่าว ผู้เจ็บป่วยทางจิตเวชอื่นอีกจำนวนมากที่ไม่เคยมีคดี มักพลอยถูกตราหน้าและได้รับผลกระทบ เกิดตราบาป (stigma) ติดตัวด้วยเสมอ ซึ่งในความเป็นจริง ผู้ป่วยจิตเวชเหล่านี้สามารถรักษาให้หายและกลับคืนสู่สังคมได้ สามารถประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ซึ่งยิ่งเข้ารับการรักษาแต่เนิ่นๆ ได้เร็วเท่าไร ยิ่งดี ล่าสุด ปี 2557 จากโครงการทดลองจ้างงานผู้ป่วยจิตเวช อาทิ ผู้ป่วยของสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา รพ.ศรีธัญญา สถาบันราชานุกูล และ รพ.ยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ ด้วยกระบวนการประเมินความสามารถและความถนัดของผู้ป่วย การเตรียมความพร้อมและเพิ่มพูนทักษะที่จำเป็นในการทำงาน เช่น การสื่อสาร การตรงต่อเวลา การปรับตัวเข้ากับหัวหน้าและเพื่อนร่วมงาน ความปลอดภัยในการทำงานควบคู่ไปกับการฝึกทักษะพื้นฐานเฉพาะทางด้านอาชีพ มีผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวและชุมชน ได้รับการจ้างงาน หาเลี้ยงตนเองได้ รวมไม่น้อยกว่า 25 ราย ดังนั้น การดูแลผู้ป่วยจิตเวช จึงต้องมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ส่วน ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปดำเนินชีวิตในสังคมได้ คือ 1.การดูแลรักษา ตามหลักวิชาการแพทย์ 2.ครอบครัว ที่จะให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ ให้ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง และ 3.สังคม ที่จะให้โอกาสผู้ป่วยดำเนินชีวิตอยู่ร่วมกันได้ และ ในวันนี้ กรมสุขภาพจิตก็ได้เปิดบ้านหลังคาแดงอีกครั้ง เพื่อสะท้อนและตอกย้ำให้สังคมภายนอกได้เห็นถึงศักยภาพของผู้ป่วยที่พร้อมกลับคืนสู่ครอบครัวและสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี สามารถพึ่งพาตนเอง เปลี่ยนจากภาระ มาเป็นอีกหนึ่งพลังสำคัญของสังคมได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวด้าน นพ.สินเงิน สุขสมปอง ผอ.สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวเสริมว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพทางจิตสังคมและอาชีพแก่ผู้ป่วยจิตเวช เพื่อกลับคืนสู่สังคม ได้นำแนวคิดการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ป่วยจิตเวช (recovery model) ของ New Life Psychiatric Rehabilitation Association จากประเทศฮ่องกง ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการฟื้นฟูสมรรถภาพในการฝึกอาชีพให้แก่ผู้ป่วยมาใช้ในประเทศไทย ด้วยหลักการที่ว่า ผู้ป่วยจิตเวชมีศักยภาพที่จะฟื้นคืนชีวิตกลับเข้าสู่สังคมได้ อย่างมีศักดิ์ศรีและพึ่งพาตนเองได้ โดยได้เปิดร้านกาแฟหลังคาแดงขึ้นในพื้นที่อาคารผู้ป่วยนอกจิตเวช ชั้น 2 สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ใช้งบประมาณสนับสนุนจากเงินพระราชทาน"กองทุนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9" และการออกแบบก่อสร้างพร้อมสนับสนุนเครื่องมืออุปกรณ์ โดย บริษัท ซีพี รีเทลลิงค์ จำกัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้ทดลองทำงานในสถานประกอบการจริง ตลอดจน ครอบครัว ชุมชน และสังคมได้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูสมรรถภาพฯ การสนับสนุนการฝึก และการประกอบอาชีพตามความสามารถ ซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขามีโอกาสกลับมามีที่ยืนอีกครั้งในสังคม ด้วยความภาคภูมิใจ