นายอรวิทย์ เหมะจุฑา ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่ง วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า "การประชุมวิชาการการขนส่งแห่งชาติได้จัดมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 โดยคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมจราจรและขนส่ง ภายใต้คณะกรรมการสาขาวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ที่มุ่งเน้นการพัฒนา ส่งเสริม และสนับสนุนการถ่ายทอดผลงาน ประสบการณ์ และงานวิจัย เพื่อจรรโลงวิชาชีพวิศวกรรมและเทคโนโลยีไทยให้เจริญก้าวหน้าในระดับสากลเป็นที่ยอมรับทั้งภายในและต่างประเทศ การประชุมวิชาการการขนส่งแห่งชาติครั้งที่ 10 นี้ จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ "การเชื่อมโยงการขนส่งอย่างปลอดภัยในอาเซียน" เพื่อเป็นการเพิ่มพูนองค์ความรู้ด้านวิศวกรรมขนส่งโดยเน้นการเดินทางที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย สำหรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยนักวิชาการและผู้ปฏิบัติงานทั้งภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ คณาจารย์และนิสิตนักศึกษา ที่มาแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และนำเสนอผลงานวิจัยร่วมกัน ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาวิชาชีพทางด้านวิศวกรรมจราจรและขนส่งให้เจริญก้าวหน้าต่อไป การพบปะแลกเปลี่ยนความรู้ ผลงานวิจัย และประสบการณ์ด้านวิศวกรรมจราจรและขนส่งในครั้งนี้ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสานต่อความร่วมมือในการปรับปรุง พัฒนา รวมถึงการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ทางวิศวกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้มาตรฐานการจราจรขนส่งที่สอดคล้องกันในอาเซียน เช่น แสงสว่าง ป้าย เครื่องหมาย สัญญาณไฟจราจร ที่จะช่วยให้การจราจรและขนส่งภายในกลุ่มประเทศอาเซียนมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป"
นายพิศักดิ์ จิตตวิริยะวศิน อธิบดีกรมทางหลวงชนบท ประธานในพิธีเปิด กล่าวว่า "การขนส่งเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่ที่นำปัจจัยการผลิตและผลผลิตออกไปยังที่ต่างๆ ดังนั้นการขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนต่ำจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาเศรษฐกิจให้เกิดการขยายตัวอย่างยั่งยืน ทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยกำลังพัฒนาและเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทยกับประเทศสมาชิกอาเซียน ประกอบด้วยทางหลวง 12 เส้นทาง รวมระยะทางทั้งสิ้น 6,693 กิโลเมตร โดยมีเส้นทางจำนวน 9 เส้นที่เป็นทั้งทางหลวงเอเชียและทางหลวงอาเซียน ได้แก่ AH1, AH2, AH3, AH12, AH13, AH15, AH16, AH18 และ AH19 และ 3 เส้นทางเป็นทางหลวงอาเซียนเพียงอย่างเดียว ได้แก่AH112, AH121 และ AH123 ซึ่งช่วยให้เกิดความสะดวกในการขนส่งสินค้าได้คล่องตัว ช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนในการขนส่ง ทำให้ธุรกิจส่งออกของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่การเดินทางข้ามพรมแดนระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนที่สะดวก รวดเร็ว และเข้าถึงง่าย ก็จะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งจากประเทศในอาเซียนและประเทศอื่นๆ เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความมั่นใจว่า ถนนและทางหลวง รวมถึงระบบขนส่งมีประสิทธิภาพที่จะรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต วิศวกรรมจราจรและขนส่งซึ่งเป็นสาขาวิศวกรรมที่ใช้ในการกำหนดนโยบาย แผนงาน โครงการ แหล่งเงิน และจัดลำดับความสำคัญ จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ให้มีความปลอดภัย สะอาด ประหยัด และมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ เพื่อช่วยกำกับการใช้รถให้เกิดความปลอดภัยทั้งผู้ใช้รถ ผู้ร่วมทาง และประชาชนในเส้นทาง"
ผศ.ดร.ณัฐ วรยศ ประธาน วสท. สาขาภาคเหนือ 1 ได้กล่าวว่า "ในวันนี้ คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าทุกประเทศในอาเซียนกำลังให้ความสำคัญในเรื่องของการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (ASEAN Connectivity) เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยเน้นที่การเชื่อมโยงใน 3 มิติ คือ 1) การเชื่อมโยงของภาคประชาชน (People) ในแง่ของการท่องเที่ยว การศึกษา และวัฒนธรรม 2) การเชื่อมโยงด้านกฎระเบียบต่างๆ (Institution) เพื่อส่งเสริมกิจกรรมของประชาชนในประเทศสมาชิก และ 3) การเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Infrastructure) เช่น การเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางระหว่างประเทศที่เป็นสมาชิกอาเซียนให้มีความคล่องตัวมากขึ้น รองรับการเติบโตด้านเศรษฐกิจการค้า และการท่องเที่ยว"
สำหรับความเชื่อมโยงด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ (Infrastructure) ทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง เทคโนโลยีสารสนเทศ และโครงข่ายพลังงาน เป็นมิติความเชื่อมโยงที่ทุกประเทศสมาชิกให้ความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่จะเชื่อมโยงการเดินทางและการขนส่งสินค้าในภูมิภาค ในการพัฒนาระบบการเชื่อมโยงการคมนาคมขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัยถือเป็นหัวใจสำคัญของการเปิดประชาคมอาเซียนให้มีประสิทธิภาพและเป็นที่น่าเชื่อถือ เพราะจะช่วยลดจำนวนอุบัติเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตจากการขนส่ง ช่วยเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง ส่งผลทำให้ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคมลดลง เป็นการช่วยยกระดับความเชื่อมโยงในมิติอื่นๆ ต่อไปในอนาคต รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืนของประชาคมในภูมิภาคอาเซียน ก้าวผ่านไปสู่เวทีการแข่งขันใหม่ (New Business Platform) ในลักษณะของกลุ่มเศรษฐกิจบนเวทีการค้าโลก บนพื้นฐานของความร่วมมือและการพึ่งพาทรัพยากรร่วมกัน สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ใน แผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity) ที่ว่า "เพื่อทำให้อาเซียนเป็นศูนย์รวมของชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มองไปข้างนอก อยู่ร่วมกันอย่างมีสันติภาพ มั่นคง และเจริญรุ่งเรือง รวมตัวกันเป็นหุ้นส่วนของการพัฒนาอย่างมีพลวัตและเป็นประชาคมที่ยั่งยืน"
การประชุมครั้งนี้มีผู้ร่วมงานกว่า 100 คน มีการบรรยายพิเศษในหลากหลายหัวข้อที่น่าสนใจ ได้แก่ 1) "Rural Roads for Development :Case Study from Around the World" มีเนื้อหาเกี่ยวกับปัจจัยที่ใช้ในการประเมินผลในการเลือกเส้นทางถนนที่จะทำการพัฒนาในโครงการต่างๆ ของ Kreditanstalt für Wiederaufbau (KfW) Bank เช่น ค่าใช้จ่าย ระดับความบ่อยในการใช้ถนน และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการพัฒนานั้นๆ โดย ดร.เรเนอร์ คอโบล ผู้เชี่ยวชาญ สถาบันเครดิตเพื่อการบูรณะและการพัฒนาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี (Kreditanstalt fur Wiederaufbau - KfW) 2) ภาพรวมของระบบการคมนาคมขนส่งในประเทศไทยรวมทั้งบทบาทของกรมทางหลวงชนบทต่อการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย เช่น ในจังหวัดสระแก้ว จังหวัดตาก จังหวัดมุกดาหาร จังหวัดตราด จังหวัดสงขลา และจังหวัดหนองคาย โดยเน้นการพัฒนาในด้านการค้าและการลงทุน การท่องเที่ยว และการเกษตร โดย ดร.ชาครีย์ บำรุงวงศ์ ผู้อำนวยการกลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศกรมทางหลวงชนบท 3) วิธีที่ทาง iRAP ช่วยเหลือประเทศในสมาคมอาเซียนในเรื่องของความปลอดภัยบนท้องถนน เช่น การวางแผนยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการคมนาคมขนส่งภายในประเทศและการดูแลรักษาความปลอดภัยบนท้องถนน จัดตั้งและสนับสนุนระบบข้อมูลในการติดตามและประเมินผล ตั้งเกณฑ์มาตรฐานของนโยบายและเป้าหมายในด้านความปลอดภัยบนท้องถนนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน โดย นายลุค โรเจอร์ส วิศวกรอาวุโสทางด้านความปลอดภัยทางถนน (International Road Assessment Programme – iRAP) ประจำ Asia Pacific
ในงานนี้ยังได้จัดให้มีการอภิปราย ในหัวข้อ "การเชื่อมโยงด้านการขนส่งระดับอาเซียน" โดยผู้แทนประเทศต่างๆ อันประกอบไปด้วย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา และสหพันธรัฐมาเลเซีย นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอบทความวิชาการในหลากหลายสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมจราจรและขนส่งจำนวน 67 บทความ
การจะเป็นประชาคมอาเซียนที่มีความก้าวหน้า ต้องมีการบูรณาการความรู้และการทำงานด้านวิศวกรรมจราจรและขนส่งของประเทศสมาชิกอาเซียน ให้สอดคล้องกันเพื่อการคมนาคมขนส่งที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมและรองรับการเจริญเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ ให้ประชาคมก้าวเป็นศูนย์กลางการค้าและการคมนาคม เพื่อประโยชน์ร่วมกันของประเทศสมาชิกในที่สุด
"สมจิตร์ เปี่ยมเปรมสุข" STI รับมอบเกียรติบัตรในฐานะ "วิศวกรอาสา" ร่วมมือ กทม. ช่วยเหลือตรวจสอบอาคาร และให้คำแนะนำในเหตุการณ์แผ่นดินไหว
AIT ส่งทีมวิศวกรเข้าร่วมสำรวจโรงเรียนวิสุทธิกษัตรี เพื่อตรวจสอบโครงสร้าง ความแข็งแรงและความปลอดภัยของอาคารเรียน
บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI จัดอบรมการใช้เครนอย่างปลอดภัยในการก่อสร้าง เพื่อยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย
STI GROUP ร่วมสนับสนุนกิจกรรม วิศวกรอาสา วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ผู้ประสบอุทกภัย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย
SPU ปรบมือให้! ไกรศร วิเชียรสาร นศ.วิศวกรรมโยธา คว้ารางวัลเรียนดีจาก วสท. พร้อมได้รับเลือกเข้าค่ายอบรมสุดพิเศษ EIT-TOC Academic Camp 2024
นักศึกษา เก่ง! สาขาวิศวกรรมโยธา ม.ศรีปทุม เข้ารับพระราชทานเหรียญรางวัลเรียนดี ประจำปี 2566
"ซันโกร" ร่วมกับ วสท. พัฒนาตลาดพลังงานหมุนเวียนไทยอย่างมั่นคงและปลอดภัย
วว. / BIM ร่วมผลักดันการทำงานระบบแบบจำลองสารสนเทศของไทยให้ทัดเทียมสากล